Air (2023)

แผนล่าลายเซ็นยอดตำนาน

Air Poster
8/10

คะแนน
โกดังหนัง

หนังกีฬาที่เล่าเรื่องยากให้กลายเป็นเรื่องง่าย ซึมซับประวัติศาตร์การต่อสู่เพื่อแย่งลายเซนต์ไมเคิล จอร์แดน ที่เปลี่ยนแบรนด์ Nike ไปตลอดกาล

หมวดหมู่ : Drama
สัญชาติ : American
กำกับโดย : Ben Affleck
ความยาว : 1 ชั่วโมง 52 นาที
นักแสดงนำ : Matt Damon, Ben Affleck, Jason Bateman

คำคมจากภาพยนตร์

"We need you in these shoes not so you have meaning in your life, but so that we have meaning in ours."
"เราต้องการให้คุณสวมรองเท้าคู่นี้ ไม่ใช่เพื่อให้คุณมีความหมายในชีวิตของคุณ แต่เพื่อให้เรามีความหมายในชีวิตของเรา"

เรื่องย่อ

การพลิกเกมอันน่าเหลือเชื่อของสองคู่ค้าธุรกิจ ไมเคิล จอร์แดน ดาวรุ่งหน้าใหม่ในตอนนั้นกับ Nike ที่ปฏิวัติโลกของกีฬาและวัฒนธรรมร่วมสมัยด้วยแบรนด์ Air Jordan จากเดิมที่กำลังจะไปเซ็นสัญญากับ Adidas อยู่แล้วอะไรทำให้ดีลนี้ประสบความสำเร็จไปร่วมหาคำตอบได้เลย

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ Air เป็นหนังดราม่าที่เล่าเรื่องได้น่าสนใจ คนที่เป็นสายธุรกิจหรือสายกีฬาไม่ควรพลาดเด็ดขาดเนื้อหามันพลิกไปพลิกมา แต่ทำออกมาได้เข้าใจง่าย ยิ่งคนที่ชอบสะสมรองเท้า Nike ไม่ควรพลาดเลย หรือแฟนบาสเก็ตบอล NBA ยุค 80 จะรู้สึกว้าวกับ Message หรือ Easter Egg ที่หนังสอดแทรกลงไป บทหนังเข้าใจได้ไม่ยาก เล่าเรื่องง่าย ๆ ชัดเจน ตรงประเด็น เหมือนเราได้เดินทางไปพร้อมกับตัวละครซันนี สู่เส้นทางที่เริ่มแล้วต้องไปให้สุด ต้องทุ่มสุดตัว การติดต่อประสานงานหาคนรู้จักและเส้นสายในวงการ การเข้าหาครอบครัวของนักกีฬา การโน้มน้าวผู้บริหาร ไปจนถึงการวางแผนเงื่อนไขสัญญาที่ต้องทำให้ดีที่สุด เป็นหนังที่แสดงให้เห็นว่าโอกาสมันพร้อมจะสร้างแรงบันดาลใจได้เสมอ แต่ให้สถานการณ์จะเป็นรองแต้มต่อก็ตาม

รีวิว / สรุปเนื้อหา

ตอนแรกคิดในใจคงเป็นหนังเล่าเรื่องผ่านชีวประวัติไมเคิล จอร์แดน แน่ๆ แต่ดูแล้วกลับผิดคาดไปเลยจ้า หนังมาด้วยพล็อตที่ MJ กลายเป็นตัวประกอบ แต่หัวใจหลักคือการต่อสู้ทางธุรกิจ ผ่านบริษัท Nike ที่ดูเหมือนว่าพวกเขาคือกลุ่มคนหน้าใหม่ที่อยากจะเจาะตลาดวงการ Basketball และคงไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้ลายเซนต์ไมเคิล จอร์แดน หนังจึงค่อยๆลงรายละเอียดว่า การจะไปเซ็นสัญญากับใครสักคนด้วยเครดิตแต้มต่อที่เป็นรองมันเป็นอะไรที่ยากเย็นหนักหนาสาหัสจริงๆ ภาพของหนังจะพูดในมุมที่ว่า Nike ต้องใช้วิธีแบบบ้านๆไปเข้าพบกับครอบครัวเพื่อขอพูดคุยเจรจาบวกกับสิทธิประโยชน์ที่จะมอบให้นักบาสคนดัง แน่นอนว่าเมื่อชื่อชั้นเป็นรอง Adidas และในเวลานั้นนักบาสมากมายก็ใส่รองเท้า Converse พวกเขาเลยต้องโน้มน้าวสุดตัว ภาพของหนังคือเป็นหนังคุยกันแต่กลับมาตีความออกมาได้น่าสนใจโดยไม่ได้มีอะไรที่ชวนน่าเบื่อเลยสักนิด หนังพูดถึงความกล้าหาญของ Nike ที่เป็นมวยรองบ่อน แต่กลับมีไม้ตายเด็ดซื้อใจครอบครัว MJ ได้ และยินยอมเพื่อให้ทุกฝ่ายได้ผลประโยชน์แบบที่ทุกคน Happy กันถ้วนหน้า Nike ได้คนดังมาช่วยเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ ชื่อของ MJ ก็ทรงอิทธิพลต่อคนในสังคมอเมริกัน

หนังเล่าเรื่องโดย Ben Affleck ที่ฉลาดกล้าหาญเล่าเรื่องผ่านมุมมองของแบรนด์ Nike แทนที่จะพูดผ่าน MJ แน่นอนว่ามันคือความแปลกใหม่ การหยิบหน้าประวัติศาสตร์ Nike มาเล่าทำได้น่าสนใจองค์กรที่กล้าเปลี่ยนตัวเองเพื่อให้ได้รับการยอมรับ ค่อนข้างชอบที่บทหนังไม่ได้ละเลยกลุ่มคนที่ต่อสู้เพื่อได้ลายเซนต์ MJ คือรู้สึกว่าให้เกียรติทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง หนังให้กลิ่นอายความเป็นยุค 80 จริงๆ ฉากการพูดคุยการเจรจาเซ็ตติ้งคอสตูมเสื้อผ้าหน้าผม โลเคชั่น เซ็ตติ้งต่างๆใก้กลิ่นอายในยุคนั้น

ชอบการแสดงของ Matt Damon ที่สุดคือน่าจะเป็นหัวใจสำคัญของหนัง ตัวละครที่ย่อมเสี่ยงรู้ว่าแต้มต่อมีน้อยแต่ก็ไปสู้เพื่อหวังลึกๆว่าจะมีโอกาสได้ลายเซนต์ MJ หรือ Ben Affleck บอสใหญ่เจ้าอารมณ์ ชอบ 2 เพื่อนซี้เวลาต่อบทกันในเรื่องโคตรมันส์, Chris Tucker ที่เรื่องนี้มาด้วยมาผู้ดีไม่ได้ตลก รู้สึกว่าเขาแสดงได้มีมิติพูดจาฉะฉานมากๆ, Chris Messina นายหน้า MJ ที่ฝีปากรุนแรงฉากที่ปะทะกับ Matt Damon นึกถึงทีไรฮาทุกที เข้าใจความรู้สึกคนโดนตีท้ายครัวในวงการกีฬามันเป็นแบบนี้นี่เอง

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • Ben Affleck และ Matt Damon เลือกจะเล่าเรื่องโดยไม่อิงกับตัว Micheal Jordan
  • Deloris Jordan แม่ของ Micheal Jordan ขอให้ทีมงานเลือก Viola Davis มารับบทเธอในเรื่อง
  • เดิมทีบทหนังจะทำเป็นซีรีส์แต่มาเปลี่ยนใจในภายหลัง
  • ตอนแรกไม่มีใครคิดว่าหนังเรื่องนี้จะเข้าฉายโรง แต่ฟีดแบ็ครอบทดสอบดีมากเลยกลายเป็นหนังเข้าโรง