8 Mile (2002)

8 ไมล์

8 Mile Poster
8.5/10

คะแนน
โกดังหนัง

หนังดวลแรพสุดเดือด เชือดเฉือนกันด้วยจังหวะและเนื้อเรื่อง เผยอีกมุมของ Eminem แรปเปอร์สุดเทพที่ได้ดีทั้งร้อง ดีทั้งการแสดง

หมวดหมู่ : Drama Music
สัญชาติ : American
กำกับโดย : Curtis Hanson
ความยาว : 1 ชั่วโมง 50 นาที
นักแสดงนำ : Eminem, Brittany Murphy, Kim Basinger

คำคมจากภาพยนตร์

“If you had one shot or one opportunity to seize everything you ever wanted in one moment, would you capture it or just let it slip?"
“ถ้าคุณมีจังหวะหรือมีโอกาสที่จะไขว่คว้าทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณเคยต้องการมาโดยตลอดในช่วงเวลาหนึ่ง คุณจะเลือกที่จะทำมันหรือปล่อยมันไป?”

เรื่องย่อ

จิมมี่ สมิธ aka บี-แรบบิท แรปเปอร์วัยรุ่นผิวขาวที่พยายามจะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองดีทรอยท์ในยุคเมืองนั้นเผชิญกับสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำและเต็มไปด้วยปัญหาแก๊งและอันธพาล ทั้งจากฝั่งคนผิวขายและผิวสี โดยมีถนน 8 Mile ล้อมรอบเมืองที่พวกเขาอยู่ มีเพียงสถานที่เดียวที่พวกเขาจะได้ดวลกันอย่างเท่าเทียม นั่นก็เวทีของแรปแบทเทิล การแข่งขันเพลงแรปใต้ดิน ที่ทำให้ บี-แรบบิทและเพื่อนในวงได้มีโอกาสไปเข้าร่วม เพื่อต่อเติมความฝันให้กับชีวิตที่แสนเฮงซวยที่เขากำลังเผชิญอยู่

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ 8 Miles เหมาะสุดๆ กับคนที่ชอบหนังชีวิต แล้วมีเพลงแรปพ่วงเข้าไปด้วย เพราะลำพังแค่เรื่องคนสู้ชีวิต ก็มักเป็นพล็อตสูตรสำเร็จที่ได้ใจคนดูมาโดยตลอดอยู่แล้ว การเพิ่มเรื่องแรป และการดวลเพลงก็ทำให้หนังมีความน่าสนใจมากขึ้นไปอีก โดยเฉพาะกับการดวลกันประหนึ่งหนังแอคชั่นที่ดูดุเดือดเลือดพล่านเหลือเกิน แต่ถ้าใครไม่ชอบดนตรีแนวนี้ก็อยากให้ลองเปิดใจดูสักครั้งเพราะมันจะให้มุมผ่านเนื้อเพลงที่น่าสนใจมากจริงๆ ใครชอบหนังแนวแรปแบบนี้อย่าง Straight Outta Comption, Hustle & Flow แล้ว ก็ขอรับชมแรปผิวขาวจาก Eminem กันบ้าง

  • สายหนังดนตรีและชีวิต
  • สายหนังดนตรีฮิปฮอป
  • สายหนังดราม่าดวลเพลง

รีวิว / สรุปเนื้อหา

หนังว่าด้วยดนตรีและการแรปที่เข้ามาสร้างกระแสในประเทศอยู่ในน้อยในช่วงนั้น อีกทั้งยังเป็นการเปิดโลกใหม่ของวงการนี้ ที่หนังพาไปสำรวจ ไม่ใช่แค่เพียงในเรื่องประกวดและการแข่งขันเท่านั้น แต่ยังเห็นมุมที่หลายๆ ตัวละครต่างก็ใช้การแรปมาเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตของเขา จนเรียกได้ว่าเข้าไปถึงสายเลือด หรือในระดับ DNA กันเลย ซึ่งการที่ตัวหนังก็ได้แรปเปอร์ตัวจริง อย่าง Eminem เลยทำให้บทนำในการเป็นแรปเปอร์ในเรื่องจึงดูไม่ใช่เรื่องยากเท่าไรในพาร์ทที่ต้องมาดวลแรปกันอย่างจริงจัง แต่ก็ต้องยอมรับว่านอกเหนือจากส่วนเหล่านี้ ที่เป็นพาร์ทดราม่าเขาก็ทำออกมาได้ดีไม่น้อยเลยเช่นกัน

ตัวหนังเองก็มีพล็อตเรื่องง่ายๆ ตามสไตล์คนสู้ชีวิต ที่โดยปกติแล้วการเป็นแรปเปอร์ผิวขาวนั้น มักไม่ได้รับการยอมรับ และมีความเชื่อว่าคนผิวดำที่ต้องเผชิญกับการกดขี่ทางอำนาจ และการเหยียดสีผิวมาโดยตลอดนั้น จะได้เห็นและเข้าใจปัญหาจนสามารถนำมาถ่ายทอดเป็นเรื่องราวในท่วงทำนองแบบแรปได้ดีกว่า ทั้งที่ในความเป็นจริงมันก็ไม่ใช่แบบนั้น เมื่อคนทุกสี ทุกเพศต่างก็ต้องเผชิญหน้ากับปัญหาบางอย่างไม่ต่างกัน เช่นเดียวกับชีวิตอันแสนบัดซบของตัวเอก ที่ต้องเผชิญทั้งปัญหากับจากที่บ้านและเพื่อนๆ ของเขา ก็สามารถถูกนำมาร้อยเรียงเป็นบทเพลงได้อย่างน่าสนใจ จากพรสวรรค์ที่มองเห็นอะไรก็สามารถนำมาแปลงเป็นเพลงได้หมด จนดูแล้วก็เป็นมุมกลับเหมือนกันที่เราจะเห็นคนขาวโดนเหยียดสีผิวอยู่บ่อยครั้งในหนังเรื่องนี้

ในฉากดวลแรปนั้นก็เป็นอะไรที่ทำได้ เนื้อหา และจังหวะต่างๆ ในฉากที่ว่าก็ถ่ายทอดออกมาได้เข้มข้นมาก ประหนึ่งนั่งดูหนังแอคชั่นคนสาดกระสุนใส่กัน เพียงแต่ปรับจากลูกกระสุน เป็นวาจาและคำพูดที่เชือดเฉือนกันแทน ซึ่งก็ต้องขอบคุณคนที่แปลซับบรรยายไทยด้วยว่าช่างมีความสามารถในการปรับคำเหล่านี้ออกมาลื่นไหลดี ทำให้ถึงแม้ว่ามันจะอยู่ในหมวดหนังที่มีรูปแบบสูตรสำเร็จของคนสู้ชีวิต ที่อาจไม่ได้มีดีที่เนื้อเรื่องที่เหนือชั้น แต่ฉากการแรปต่างๆ ก็สร้างสีสันให้กับหนังได้เป็นอย่งดี และรู้สึกว่ามันเท่มากๆ กับวัฒนธรรมที่ว่านี้ จนตัวหนังเองก็ได้รางวัลเพลงประกอบยอดเยี่ยมมาครองสำหรับ Lose Yourself ด้วย

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • เพลง Lose Yourself เป็นเพลงที่ Eminem ตั้งใจอัดขึ้นมาสำหรับหนัง 8 Mile โดยเฉพาะ และมันกลายเป็นเพลงแรปเพลงแรกที่ชนะรางวัลออการ์ใน สาขา Best Original Song
  • ในวันที่เขาได้ออสการ์นั้น เขาไม่ได้เป็นคนไปรับรางวัลด้วยตัวเอง เพราะคิดว่าเพลงเขาไม่ชนะแน่ๆ เลยนอนอยู่บ้าน กับลูกสาวที่นั่งดูการ์ตูนแทนดีกว่า แต่สุดท้ายเขาก็ได้มีโอกาสกลับไปร้องเพลง Lose Yourself บนเวทีอีกครั้งในปี 2021
  • Eminem ขายกระดาษที่ตัวละคร Jimmy ของเขาได้ทำการจดเนื้อเพลง Lose Yourself เอาไว้บนรถบัส มาประมุลบน eBay ที่ราคา $10,000