
28 Years Later (2025)
28 ปีให้หลัง.. เชื้อเขมือบคน

คะแนน
โกดังหนัง
งานคุณภาพ รสชาติแปลกใหม่ เสียดสีความโหดร้ายได้เฉียบขาด
คำคมจากภาพยนตร์
"Remember that one day, we all must die."
"จงระลึกไว้ว่าวันนึงเราทุกคนก็ต้องตาย"
เรื่องย่อ
เป็นเวลาเกือบสามทศวรรษแล้วที่เชื้อไวรัสแพร่ระบาดจากห้องทดลองอาวุธชีวภาพ ผู้รอดชีวิตบางส่วนยังคงใช้ชีวิตภายใต้มาตรการกักกันอันเข้มงวด และได้ค้นพบวิธีที่จะใช้ชีวิตร่วมกับเหล่าผู้ติดเชื้อได้ หนึ่งในกลุ่มผู้รอดชีวิตเหล่านี้อาศัยอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ที่เชื่อมต่อกับแผ่นดินใหญ่ด้วยถนนเพียงสายเดียวซึ่งมีการป้องกันอย่างแน่นหนา แต่เมื่อหนึ่งในสมาชิกตัดสินใจเสี่ยงภัยเดินทางเข้าไปยังใจกลางแผ่นดินใหญ่ที่มืดมิด เขาก็ได้ค้นพบการกลายพันธุ์ที่ไม่ได้แพร่กระจายไปสู่แค่เหล่าผู้ติดเชื้อเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้รอดชีวิตคนอื่น ๆ ด้วย
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
หนังซอมบี้สยองขวัญ ที่เคยสร้างตำนาน 28days later เมื่อ 23 ปีก่อน กลายเป็นต้นแบบหนังซอมบี้ที่เคลื่อนไหวได้รวดเร็วที่งานยุคหลังเลือกเจริญรอยตาม ส่วนตัวตื่นเต้นกับโปรเจ็คนี้ตั้งแต่วันแรกที่มีการประกาศสร้างแล้ว และบทหนังก็เลือกจะไม่เล่าซ้ำจากเนื้อหาเก่า ตรงข้ามเลยหนังมีทิศทางใหม่ เสียดสีสังคมอันดัจจริตแบบผู้กำกับ Danny Boyld ต้องการ หลังจากที่โลกล่มสลาย มนุษย์กลายเป็นชนกลุ่มน้อย ใช้เวลาในเกาะแคบๆเท่านั้น
รีวิว / สรุปเนื้อหา

ภาพของหนังต่อยอดจากประเด็นเดิมได้ดีมากๆ ตบด้วยประเด็นการวิพากย์วิจารณ์ระบบทุนนิยมที่ชัดเจนว่าผู้กำกับกัดจิกเสียดสภาพสังคมที่เรามักจะสร้างภาพคุยโวโอ้อวดเกินจริง หรือแม้กระทั่งการใช้อำนาจความเป็นผู้ใหญ่กว่ากดเด็กกดผู้หญิงที่มุมมองที่เห็นต่างให้เชื่อว่าตัวเองเป็นแบบนั้น โดยปกปิดความจริงไม่ให้รับรู้ หนังทำได้ดีในแง่ที่ว่าตัวละครในเรื่องก็แทบไม่ต่างจากสภาพสังคมในยุคนี้ เราคิดว่า ทำอะไรสักอย่างหนึ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ แล้วต้องหาพื้นที่พยายามอยากให้คนอื่นมายอมรับ รับเสียงสรรเสริญจอมปลอมไปวันๆ ว่าง่ายๆ หลังเองก็วิพากย์วิจารณ์การเมืองอังกฤษแบบตรงไปตรงมา ถึงแม้ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงไปแค่นั้น แต่มนุษย์ยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัว โหดเหี้ยม โหดร้าย ส่วนตัวรู้สึกว่าหนังมีปรัชญาที่ชัดเจน มีวิธีการเล่าเรื่องที่ทันสมัย มีมิติความเป็นมนุษย์ ขนาดว่าโลกล่มสลาย แต่มนุษย์ก็คิดแค่ว่าดิ้นรนมีชีวิตรอดมีลมหายใจต่อไป

ส่วนตัวเห็นชอบพาร์ทการดิ้นรนของตัวละคร นอกจากฉากแอ็คชั่นที่มันบันเทิงมาก บ้าระห่ำเลือดสาด ซีนไล่ล่าหนีตายจากซอมบี้ที่ทำออกมาได้มันส์เลือดสาดแล้ว บทหนังก็พยายามสอดแทรกความตลกความฮา มีอารมณ์แบบหนังครอบครัว ความรักต่อคนรัก มีความอบอุ่นหัวใจ หรือประเด็นความเป็นความตายที่คนเราหลีกหนีไม่มีวันพ้นหนังมีความสุขุม ไม่ได้ดิบจนเกินไป ไม่คิดว่าจะได้สัมผัสแนวทางที่แปลกใหม่แบบนี้ ผู้กำกับมีวิสัยทัศน์ที่เด็ดขาด ใช้ประเด็นด่ารัฐบาลอังกฤษถึงประเด็นที่ออกจากสหภาพยุโรปแบบชัดๆ ชอบทีหนังมันพูดถึงประเด็นวันสิ้นโลก แทนการบ่งบอกว่านี่คือหนังซอมบี้ ส่วนตัวชอบที่ผู้กำกับทำออกมาได้แปลกใหม่ แม้ว่าผู้ชมบางส่วนอาจผิดหวังแต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านี่คือหนังสะท้อนจากโลกแห่งความเป็นจริง การวางเทคนิคการถ่ายทำอารมณ์แบบเรียลไทม์ตามติดตัวละคร และใช้ Iphone ถ่ายทำตลอดทั้งเรื่อง ก็ได้งานภาพที่ไม่มีใครกล้าทำแน่ๆ

กลุ่มนักแสดงนำ Alfie Williams แบกเรื่องนี้ได้ดี เป็นตัวแทนของความอ่อนแอ ที่ถูกปกครองด้วยระบบคนแก่คนโตกว่าทำให้เขาหัวอ่อนเพื่อจะเชื่อคนแก่สาระพัด โดยไม่รู้ข้อเท็จจริงอะไร แต่เมื่อก้าวเดินออกมาจากพื้นที่เก่าๆ ได้เรียนรู้โลกแห่งความเป็นจริง ไม่ได้สวยหรู ไม่ได้มีแค่ซอมบี้ไล่ล่ากัดจิกคนเท่านั้น แต่มันซุกซ่อนความโหดร้ายที่เขาต้องเผชิญ Jodie Comer น้องที่รับบทแม่ ชอบพาร์ทดราม่าที่เธอแสดงร่วมกับ Alfie เธอทำให้หนังอบอุ่น แต่ที่ชอบมากทึ่สุดคือ Ralph Fiennes ที่มาในพาร์ทคนบ้าๆ ถูกตัดสินใจจากภาพลักษณ์ที่ดูเพี้ยน เขาตีบทแตกกระจาย เล่นได้สุขุมนิ่งเยือกเย็น Aaron Taylor Johnson นักแสดงคุณภาพที่บ้าระห่ำ หลงตัวเองจนหลงลืมความเป็นคนไปจนหมดสิ้น
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- Cillian Murphy สะใจมากๆที่มีคนเข้าใจผิดว่าเขากลับมาแสดงหนังเรื่องนี้ ทั้งที่เขาไม่ได้มีส่วนร่วม
- Alex Garland มือเขียนบท ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังเรื่อง Kes
- เป้าหมายประการหนึ่งของ Jodie Comer เมื่อเธอเริ่มต้นอาชีพนักแสดงคือการได้แสดงในภาพยนตร์ของ Danny Boyle และเธอคว้าโอกาสที่จะได้แสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ทันที
- การกำกับภาพหนังเรื่องนี้ใช้กล้อง Iphone