5 เหตุผลทำไมหนังจักรวาล DC ถึงยังออกมาไม่ปังเท่า MCU
หากจะนับหนังซุปเปอร์ฮีโร่ในยุคนี้ ก็น่าจะมี 2 ค่ายใหญ่เป็นหลัก อย่าง Marvel และ DC ซึ่งใน Marvel จะมีชื่อย่อว่า MCU มาจาก Marvel Cinematic Universe ที่ใช้แทนจักรวาลของภาพยนตร์และซีรีส์ของ Marvel ทั้งหมด ส่วน DC จะมีชื่อว่า DCEU ที่มาจาก DC Extend Universe เช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าในขณะที่ MCU เปรียบเสมือนจักรวาลที่ทำออกมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีการวางแผนอย่างดี และแบ่งเป็นเฟส ออกมาได้อย่างลงตัวจนลากคนติดตามมาได้เป็นจำนวนมาก
ในขณะที่ DCEU ที่แม้ว่าจะตามมาที่หลังแต่ก็ไม่สามารถลอกสูตรของ MCU มาได้ขนาดนั้น ทำให้หนังเดี่ยวของค่ายหลายๆ เรื่อง แม้จะดูดี มีความเป็นตัวเอง แต่เมื่อจะจับไปรวมกับจักรวาล กลับกลายเป็นเรื่องยาก และสาหัสจนหนังอย่าง Justice League เองก็ไม่ได้ความนิยมเท่าที่ควร จนมันยังต้องเข็นฉบับ Snyder’s Cut ออกมากันไปอีก รวมถึงดาราของค่ายเองก็สรรหาปัญหามาได้สารพัด จนทำให้ไม่ว่ามองทางไหน มันก็ยังไม่ได้รับความนิยมเท่ากับ MCU แม้ว่าฐานแฟนๆ คอมมิคทั้งสองเจ้านั้นพอๆ กันก็ตาม วันนี้เราก็เลยอยากจะมาชวนคุยกันว่า เพราะเหตุใด ทำ DCEU ถึงยังตามหลัง MCU อยู่แบบนี้
1. DCEU ออกตัวก่อน แต่กลับเปิดจักรวาลช้ากว่ามาก
หากนับกันตามช่วงเวลาแล้ว DC นั้นเป็นค่ายที่หยิบเอาฮีโร่หลักๆ มาทำเป็นภาพยนตร์มาโดยตลอด อย่าง Batman ที่ไล่เรียงมาตั้งแต่ปี 1989 มาจนถึงจักรวาลของ Nolan รวมถึง Superman ที่มีมาตั้งแต่ปี 1978 จนถึง Man of Steel ของ Zack Snyder ก็เรียกได้ว่า มาก่อนกาลในขณะที่ Marvel ในยุค 2000 เองนั้น ยังวนเวียนกับฮีโร่บ้านๆ อย่างพวก Daredevil, Punisher, Ghost Rider อะไรแบบนี้อยู่ แม้ว่าจะมีตัวดังอย่าง Fantastic Four มา แต่คุณภาพหนังก็กลับไม่เป็นถูกใจเท่าไรนัก
จนกระทั่งการมาของ Iron Man (2008) ที่เป็นตัวเปิดจักรวาล MCU เรื่องแรก และกำกับโดย Jon Favreau นั้น ดังเป็นพลุแตกและกวาดรายได้ไปได้เพียบ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะหนังเลือกที่จะลงไปสำรวจจิตใจตัวละครมากกว่าแค่แอคชั่นทั่วๆ ไป แถม Kevin Feige ที่เป็นหัวหอกของ Marvel ก็เริ่มดำเนินการ MCU Phase 1 แทบจะในทันที แต่ก็เป็นไปแบบไม่รีบ ไม่ร้อน ค่อยๆ แนะนำตัวละครทีละตัวกันไป ก่อนที่จะจบ Phase 1 ด้วย Avengers (2012) ที่เป็นจุดเริ่มต้นให้คนดูติดกับไปเรียบร้อย ในขณะที่ในปี 2013 DECU นั้นก็เพิ่งจะเข็น Man of Steel กันออกมาเอง
ทำให้กว่า DCEU จะรู้ว่าแนวทางแบบ MCU มันเวิร์กก็ออกตัวช้าเกินไปเสียแล้ว เพราะแฟนคลับส่วนมากไปติดหนัง MCU กันหมด และพร้อมที่จะตามทุกเรื่องที่ออกมา เพื่อเชื่อมต่อจักรวาลไว้ด้วยกัน แถมพอจะไปเร่งตามในภายหลัง ก็ทำให้มันลวกๆ ออกมาแบบไม่เป็นท่าสักเท่าไร
2. Zack Snyder อาจกำกับดี แต่คุมงานทั้งหมดไม่ไหว
ส่วนตัวแอดเองชอบงาน Zack Snyder นะ เพราะวิชวลสวยๆ มันทำให้ฉากแอคชั่นสนุกขึ้นมาก หนังแต่ละเรื่องของเขาก็มี Style เข้มๆ เดือดๆ เป็นของตัวเองมาโดยตลอด อย่างฉาก Climax ของ Man of Steel ที่เป็นการปะทะกันของ Superman กับ Zod ก็เป็นอะไรที่ฟินดีมากๆ แต่น่าเสียดายที่ Warner Bros เองดันโยนภาระหน้าที่ในการดูแลจักรวาลทั้งหมดให้กับ Zack คนเดียว ซึ่งก็ดูน่าจะเป็นงานที่ใหญ่เกินไปสำหรับเขา แถมสตูดิโอเองก็แทรกแซงความดาร์คในแบบที่เขาอยากจะทำอยู่ไม่น้อย เพราะแรกเริ่มจักรวาลของ Zack ดูตั้งใจจะออกมาให้โทนดาร์คกว่านี้สำหรับฮีโร่ที่จะออกมาทุกตัว แต่ความสดใสแล้วขายได้ของ Marvel กับทำให้สตูดิโอหันหัวไปในทางที่เป็นมิตรมากขึ้น
ซึ่งเทียบกับการคุม MCU ของ Kevin Feige แล้ว กลับมีทิศทางที่ชัดเจนมากกว่า และรู้ตัวว่าในแต่ละ Phase กำลังทำอะไรอยู่ และมีโครงเรื่องหลักเป็นอะไร อย่าง Infinity Saga หรือมหากาพย์อัญมณีธานอสก็ถูกปูมาเอาไว้ตั้งแต่ Phase 1 มีการเผยทิศทางมาโดยเรื่อยๆ จนกระทั่งถูกใช้เป็น Boss ใหญ่ของจักรวาลชุดแรกได้อย่างลงตัวมาก ในขณะที่ Justice League ภาคแรกยังดูงงๆ กับตัวเองอยู่เลย ว่าสุดท้ายจะโฟกัสหนังเดี่ยว หรือรวมจักรวาลดี
3. ผู้กำกับไม่ได้มีอิสระในการทำ แต่เป็นสตูดิโอกำหนด
หากมองในมุมผู้กำกับของฝั่ง DECU ก็ไม่ได้แย่ แม้งานส่วนใหญ่จะเป็นของ Zack Snyder แต่ก็มีผู้กำกับมือดีที่มีสไตล์เป็นของตัวเองอย่าง James Wan, David Ayer, David F. Sandberg หรือ James Gun รวมถึง Joss Whedon เอง ที่ทำให้ Avengers ดังมาได้ แต่พอมากุมบังเหียน Justice League ก็ดันพังซะงั้น ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะว่าผู้กำกับต่างก็บ่นกันมากเหลือเกิน ถึงการแทรกแซงงานจากทางสตูดิโอเป็นอย่างมาก
โดยงานที่เห็นได้ชัดสุดคงหนีไม่พ้น Suicide Squad ของ David Ayer ที่ออกมาโดนทั้งฝั่งนักวิจารณ์และคนดูถล่มยับจากคุณภาพของหนังเอง อีกทั้งความโดนใจแฟนๆ ก็แทบจะไม่มี จน Ayer เองก็ออกมาบ่นถึงการที่โดนแทรกแซงการทำงานเหมือนกัน ต่างจากค่าย Marvel เองที่เปลี่ยนผู้กำกับมากหน้าหลายตา ทั้งมือใหม่ มือเก๋า ก็ให้ปล่อยของได้เต็มที่ จนทำให้หนังแต่ละเรื่องดูมีสไตล์จัดจ้านเป็นของตัวเอง มีความสดใหม่ และเอกลักษณ์เฉพาะตัวขึ้นมากจริงๆ
4. มู้ดแอนโทนที่มืดหม่น อาจกันคนออกไปอยู่เยอะ
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าด้วย Rate PG-13 และโทนที่สดใสของ Marvel มันทำให้คนส่วนมากเข้าถึงได้ง่าย แถมยังมีการยิงมุขรายทางให้มีความตลกและสีสันได้ตลอดเรื่อง ก็เป็นอะไรที่ทำให้พ่อ แม่ ก็สามารถพาลูกๆ ไปนั่งดูได้แบบสบายๆ ในขณะที่ฝั่ง DCEU เองอาจจะมีความดาร์คมากกว่า ด้วยตัวบุคลิกฮีโร่เอง เอาแค่ Batman ก็เป็นศาลเตี้ยสุดโหดที่แทบจะมีอาการทางจิตไปแล้ว แก๊ง Suicide Squad 2 เองก็เอานักโทษเดนตายมาเป็นทีมหลักของเรื่องก็โหดแบบจัดหนักเหลือเกิน
จึงไม่แปลกนักหากพ่อ แม่คนไหนที่ดูเรทก่อนเข้าชม หรือคนบางประเภทที่ไม่ชอบอะไรแบบโหดๆ เลือดสาดแล้ว ก็เหมือนว่า MCU จะดูเป็นมิตรและไร้พิษภัยมากกว่าเยอะ ซึ่งทั้งนี้ไม่ได้บอกว่า DECU ควรปรับเป็นโทนสดใสนะ เพราะความดาร์คมันก็ดีอยู่แล้ว และเป็นเสน่ห์ของมันอยู่เหมือนกัน เพียงแต่กลุ่มคนทที่เข้าถึงได้ก็อาจจะลดลงไปหน่อย
5. ภาพลักษณ์ดาราที่มีแต่ปัญหา ไม่เป็นมิตรเท่าอีกเจ้า
เสน่ห์ของดาราก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ตัวละครเป็นที่หลงรัก การได้ Robert Downey Jr. มาเป็น Iron Man การได้ Chris Evan มาเป็น Captain America หรือการได้ Scarlett Johansson มาเป็น Black Widow รวมถึงคนอื่นๆ อีกมากมาย ก็ต่างเป็นดาราที่ไม่ค่อยสร้างชื่อเสีย ไม่ค่อยมีข่าวแย่ในแวดวงดารา อย่าง Robert เอง แม้ว่าจะมีข่าวเสียมาก่อนหน้า แต่การปรับตัวกับโอกาสครั้งใหม่ก็ทำให้เขากลายเป็นที่รักและเนื้อหอมในวงการกลับมาได้
ในขณะที่ช่วงหลังๆ เราจะพบปัญหากับดาราของ DECU อยู่มาก นับตั้งแต่ Amber Heard เอง ที่รับบทเป็นนางเอกใน Aquaman แต่ก็ดันมีข่าวแย่ๆ กับ Johnny Depp ไปอีก แถมการขึ้นศาลก็ทำให้เราเห็นใจอีกฝั่งมากกว่าเธอเยอะ จนทำให้เกิดกระแสแบนตามมามากมาย รวมถึง Ezra Miller เองที่หลังๆ ก็ดูเหมือนจะมีปัญหาชีวิตเสียจริง จากการไปคุกคามผู้คนมากมาย จนเกิดเป็นข่าวเสียๆ หายๆ ตามมา จนน่าจะปลดจากบท The Flash ไปเสียแล้ว เลยทำให้อนาคตของจักรวาลนี้ดูมืดหม่นขึ้นไปอีก