รู้จัก Sandman อีกหนึ่งฮีโร่แฟนตาซีจาก DC Comic ที่ไม่อยากให้พลาด
สำหรับ Series อันดับ 1 ในไทยของ Netflix ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คงหนีไม่พ้น Sandman อีกหนึ่งผลงานของ Neil Gaiman ในช่วงปี 1989 ที่ได้ถึงเวลาบ่มเพาะมาอย่างดี และกลายเป็นเวอร์ชั่นคนแสดงขึ้นมาจนได้ โดยผลงานของ Neil เองก็มีชื่อมาแล้วมากมาย ส่วนมากจะเป็นนิยายภาพ โดยเฉพาะพวกแนวแฟนตาซี พลังเทพเจ้าหน่อยๆ เหมือนอย่าง Good Omens, Stardust, Amercan Gods, Lucifer เป็นต้น
ซึ่งหลังจาก 30 ปีที่พยายามเข็น Sandman เป็นฉบับคนแสดงก็เรียกได้ว่าผ่านความล้มเหลว ผ่านวิบากกรรมต่างๆ แต่ Neil เองก็ดูไม่ยอมแพ้สักเท่าไรเพราะเป็นผลงานที่เขารักมากที่สุดเหมือนกัน เพราะนอกจากมันจะโลดแล่นในพืนที่แฟนตาซีตัวเองแล้ว มันก็ยังได้กลายเป็นฮีโร่มในค่าย DC Comic ไปด้วย ในฐานะ 1 ในสมาชิก Endless เข้าไปด้วย และสร้างปรากฏการณ์ให้ผู้หญิงหันมาอ่าน Comic มากขึ้นไปอีก วันนี้เราเลยอยากที่จะมาสาธายายความดีงามเพิ่มเติม ว่าเหตุใด Sandman ถึงกลายมาเป็นคอนเทนต์ที่น่าสนใจอีกเรื่องที่เราไม่อยากให้พลาดกัน
จากฉบับ Comic สุดเท่ ผ่านยุคสมัยมาโลดแล่นบนจอ
อย่างที่บอกไปในบทนำว่า Sandman เป็นผลงานของ Neil Gaiman เมื่อปี 1989 เป็นงานที่เขารักมาก ซึ่งเหมือน Series เองก็รอพร้อมกับงาน CG หรือเทคโนโลยีต่างๆ ให้พร้อมเล่า ซึ่งก็เรียกว่าทำออกมาได้ดีเลย ทั้งการดีไซน์โลกแห่งความฝันและบัลลังก์ต่างๆ ของ Dream ตัวละครเอกของเรื่อง จุดเด่นของมันเลยเป็นความดาร์คแฟนตาซีที่พาผู้คนอินได้ไม่ยาก เพราะเล่นปูเรื่องให้ตั้งแต่เริ่มตามใน Comic ซึ่งหากนับแล้วก็ราว 15 ตอน
ตั้งแต่ Preludes and Nocturnes มาเล่า ที่แม้จะยังไม่ได้เห็นถึงที่มาที่ไปของตัวละครมากนัก แต่ก็ทำให้เราได้เห็นถึงความสำคัญของ Dream และดินแดนแห่งความฝัน ว่าหากเขาหายไปโลกจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง สอดแทรกไปยังช่วงเวลา แต่เหตุการณ์ต่างๆ ของโลก และที่สำคัญแม้ว่าจะเป็นผลงานกว่า 30 ปีมาแล้ว แต่พอดัดแปลงก็เรียกได้ว่าทำออกมาได้เข้ากับยุคสมัย แม้ว่ามันจะต้องยอมเปลี่ยนรายละเอียดไปหลายอย่างเลยก็ตาม จนมีความสวยงามและน่าสนใจแบบที่ต่างกันไป
เปลี่ยนตัวละครกันใหม่ ยกระดับความจัดจ้านหลากหลาย
เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนหลายๆ อย่างในเรื่องราวในเรื่องก็เปลี่ยนไปด้วยตามยุคสมัย ทั้งตัวละครหลายๆ ตัวเองก็ปรับเข้าโหมด LGBTQ+ แบบสุดมากๆ และก็มีหลายตัวเลยที่เป็นแบบนั้น เลยทำให้แคสติ้งของตัวละครเป็นไปด้วยความจัดจ้านมากๆ จนหลายคนอาจจะพูดถึงตัวลครที่พวกเขารักว่าทำไมเปลี่ยนไปขนาดนี้ แต่สุดท้ายแล้ว การใส่พวกเขาเข้ามาในโลกยุคปัจจุบัน ก็ดูเป็นปกติกับความหลากหลายที่เกิดขึ้นในเรื่องอยู่แล้ว
เพราะ Series จับมายำใหม่หมด ทั้งเรื่องเพศสภาพและสีผิว เชื้อชาติของนักแสดงก็สลับกันมันส์มือหมด ทำให้เราจะได้เห็นภาพลักษณ์ใหม่ๆ และการตีความใหม่ของตัวละครที่ไม่ซ้ำกับใน Comic จนทุกตัวแทบจะเรียกได้ว่าเป็น Non-Binary ไปหมดแล้ว ที่เห็นก็แค่เพศสภาพ เพราะไม่รู้เลยว่าจริงๆ พวกเขาเป็นเพศอะไรกันแน่ในเรื่อง
หลายตอนที่ลุ่มลึก และชวนคิดแม้ว่าจะดูจบไปแล้ว
เพราะ Sandman มันไม่ใช่แค่ Series ฮีโร่ หรือพลังเทพธรรมดา แต่ในคอมมิคก็ใส่ประเด็นในเรื่องของชีวิตมนุษย์มาค่อนข้างมาก เพราะ Dream ตัวเอกเอง ก็เป็นเสมือนตัวแทนของความฝัน ที่ทำให้มนุษย์มีชึวิตต่อไปได้ เพราะความฝัน และความหวังคือแรงผลักดันของคน แม้ในวันที่มืดมิดที่หากยังมีความหวังอยู่อะไรมันก็ดับไม่ได้ เหมือนอย่างที่ตอนหนึ่งเมื่อ Dream ต้องเผชิญหน้ากับผู้คุมนรก Lucifer Morningstar เขาก็ใช้บทบาทต่างๆ มาเพื่อเอาชนะกัน (อารมณ์เหมือน Rap แข่งกันอย่างนั้นเลย)
ไม่ต่างจากตอนจากตอนหนึ่งที่เขาได้ทดลองกับมนุษย์โดยให้มนุษย์เป็นอมตะไม่มีวันตายไปยาวๆ และมารอเจอกันได้ทุกๆ 100 ปี เพื่ออัพเดทถึงความรู้สึก และชีวิตต่างๆ ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้างก็ ทำให้เขาได้เห็นแง่มุมของการเลือกที่จะมีชีวิตได้ต่างออกไป ก็เป็นอีกตอนที่แม้ว่าจะเกี่ยวกับเนื้อเรื่องหลักเท่าไรนัก แต่ก็กลายเป็นอะไรที่น่าจดจำได้มากเลยทีเดียว
งานดีไซน์แห่งความฝัน ที่สวยอลังการ
ในแง่ของงาน Production นั้น เรียกได้ว่าอลังการงานสร้างตั้งแต่ฉากเปิด กับการดึงจินตนาการในหัวในของ Neil Gaiman ออกมาทั้งหมด และถ่ายทอดออกมาให้ดูสมจริงที่สุด ทำให้แต่ละฉากล้วนทำออกมาได้ดีเลย และอินไปกับเรื่องราวได้ไม่ยาก เพราะภาพที่มันชัดเจน ส่วนในด้านการแต่งกายก็เรียกได้ว่าจัดเต็มไปแพ้กัน คอสตูมแต่ละตัวละครมีความเท่เฉพาะตัวมาก ยิ่งพอตัวละครมันเป็น Non-Binary ด้วย ยิ่งระเบิดความแม่ ความสับได้แบบถึงขีดสุดเลย
ทำให้ระหว่างดูนอกจากจะเสพเนื้อเรื่องไปเรื่อยๆ แล้ว ก็ยังสามารถเสพงานอาร์ท งานออกแบบสวยๆ ในเรื่องไปได้อย่างเพลินเลยล่ะ
แต่ละตอนมีธีมตัวเอง เหมือนดูหนังใหม่ในทุกตอน
จริงอยู่ที่ภารกิจหลักของ Dream คือการตามหาอุปกรณ์ของตัวเอง 3 อย่างคืนจากในที่ต่างๆ หลังจากที่เขาโดนจับมาและทำให้ของกระจายไปในที่ต่างๆ แทน ทำให้พล็อตหลักในซีซั่นนี้จึงดูเป็นแบบนั้น แต่ในตอนย่อยๆ ของ Series ก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ทั้งวายร้ายแต่ละคนที่ต่างไปทำภารกิจเหมือนกัน อย่างตอนที่ตัวร้ายรายหนึ่งที่ขโมยทับทิมหลุดออกมา แล้วทำให้คนรอบข้างเผยสัญชาติญาณดิบและความในใจ จนช่วงเวลาสั้นๆ ก็กลายเป็นนรกบนดินที่ชวนสยองได้
ตอนที่ Dream เดินเล่นกับ Death เพื่อไปรับวิญญาณต่างๆ ก็เป็นอะไรที่ดูอบอุ่นและสะท้อนสัจธรรมชีวิตได้เป็นอย่างดี การได้เห็นคนเราที่ต้องจากไปทั้งพร้อมและไม่พร้อม หรือแม้แต่ตอนท้ายๆ ที่เป็นงาน Serial ที่ชุมนุมเหล่าฆาตกรต่อเนื่องเอาไว้ ก็ทำออกมามีเสน่ห์ชวนสยองและไม่น่าไว้วางใจ ซึ่งการออกแบบแต่ละตอนเลยออกมาดูดีมาก มีความแปลกใหม่แม้ว่าจะเป็นภารกิจหลักที่ร้อยเรียงกันมา แต่ธีมมันก็ทำให้เจออะไรแปลกๆ ได้ตลอดทุกตอนจนเดาทางกันไม่ถูกเลยจริงๆ