5 เหตุผลทำไม Last of Us ถึงกลายเป็นซีรีส์ทำจากเกมระดับ A

ในตอนนี้คงไม่มี Series เรื่องไหนที่ร้อนแรงเท่ากับ The Last of Us อีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคอเกมที่เคยเล่นมันมาก่อนหน้าและได้สัมผัสกับคุณภาพของเกมระดับ AAA มาแล้ว จึงไม่แปลกที่วันหนึ่งมันจะถูกดัดแปลงมาเป็นฉบับซีรีส์อย่างตั้งใจ และพัฒนามันออกมาให้ไม่แพ้ฉบับตัวเกมเลย ซึ่งเชื่อว่าหลายๆ คนที่ได้ดูตอนแรกไป ก็น่าจะสัมผัสได้ถึงคุณภาพชั้นดีในแบบเดียวกันไปแล้ว และน่าจะลงแดงในทุกๆ ตอนไปอีกหลายสัปดาห์กว่าจะจบกันเลย

ซึ่ง The Last of Us เล่าถึงเรื่องราวของมนุษยชาติที่แทบจะสูญสิ้น จากการวิวัฒนาการของเชื้อราคอร์ไดซิปิน ที่พัฒนาตัวเองให้เป็นพาหะและจู่โจมสิ่งมีชีวิต แพร่กระจายจนควบคุมร่างนั้นๆ ได้ จนทำให้มนุษย์นั้นกลายเป็นผู้ติดเชื้อไปเกือบหมด ซึ่ง โจล เองก็เป็นอีกคนที่สูญเสียครอบครัวไปเพราะเหตุการณ์นี้ ต่อมา เขาได้รับภารกิจให้พาวัยรุ่นสาวอย่าง เอลลี ไปส่งตัวให้ถึงที่ ด้วยจุดประสงค์บางอย่าง ทำให้พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับผู้ติดเชื้อมากมายนอกเมือง หากใครอยากติดตามต่อ ก็สามารถดูกันได้ใน App HBO Go กันได้เลย มีพากษ์ไทยด้วยนะ

1. Cast มาตรงใจ ด้วยดาราระดับคุณภาพ

ในส่วนแรกที่เรียกความฮือฮากับแฟนเกมได้ตั้งแต่เปิดตัวโฉมแรกของซีรีส์ The Last of us เลยก็คือการเปิดตัวนักแสดงหลัก ที่จะมารับบท โจล และ เอลลี่ ที่จะต้องแบกตัวซีรีส์ไปตลอดทั้งเรื่อง เพราะตลอดการเดินทางนั้น จะมีแค่ 2 ตัวละครนี้เป็นหลัก หากแคสพลาดเมื่อใด หรือเคมีไม่เข้ากันก็คงพังในทันที แต่การเลือก Pedro Pascal ที่รูปลักษณ์ค่อนข้างคล้ายตัวเอกในเกม รวมถึงบุคลิกการเป็นลุงขวางโลกของเขาก็คือตัวเลือกที่ดีมากๆ จริงๆ 

ในส่วนของ Bella Ramsey ที่แม้ว่าจะมีผลงานไม่มาก แต่การแสดงของเธอที่ผ่านมาในซีรีส์ชุด Game of Thrones ในบท Lyanna Mormont แห่งเกาะหมี ก็เป็นอะไรที่พิสูจน์ฝีมือได้ดีอยู่แล้ว พอเห็นการแสดงในตอนแรกของเธอก็เป็นเด็กห้าวได้น่าสนใจเลยทีเดียว ซึ่งนอกจากตัวละครหลักแล้ว ตัวละครอื่นๆ ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะบางคนก็เอาคนเดียวกับในเกมมาใช้ด้วยซ้ำ จึงไม่แปลกใจที่หากนักแสดงในเรื่องจะได้ใจคอเกมกันไปเต็มๆ

2. ผู้กำกับมือดี พ่วงด้วยคนทำเกมเอง

ไม่แปลกนักหากคนจะบอกว่า The Last of us มันเหมือนต้นฉบับซะเหลือเกิน เพราะมันได้ Neil Druckmann ผู้ที่เขียนบทให้กับตัวเกม The Last of Us ดั้งเดิมอยู่แล้วทั้ง 2 ภาค และยังมีผลงานก่อนอย่าง Uncharted ที่เป็นเกมเรือธงของค่าย Naughty Dog เหมือนกัน จนคว้ารางวัลมาได้มากมายแล้ว การที่เขาเข้ามาดูงานเอง ทำให้เขาได้ปรับเปลี่ยนได้อย่างมีอิสระ รู้ว่าตรงไหนเวิร์ก ควรทำตามเดิม หรือตรงไหนควรเพิ่มเพื่อให้มี Impact มากขึ้น

ในส่วนของผู้กำกับอีกคนอย่าง Craig Mazin นั้นต้องบอกว่าคนนี้เทพมาก เพราะเคยมีผลงานอย่าง Chernobyl ให้กับทาง HBO แล้ว และเป็นอีก Mini Series ชั้นเยี่ยมที่ได้รางวัลมามากมายจากการถ่ายทอดเหตุการณ์หลายมุมที่เกิดกับโรงนิวเคลียร์ที่ระเบิด พอมาทำ The Last of Us ก็ยังทำด้วยความใส่ใจเหมือนเดิมเสมือนรู้ว่าคนดูต้องการอะไรก็ถ่ายทอดสิ่งเหล่านั้นไปให้อย่างครบถ้วน

3. เคารพต้นฉบับ แบบฉากต่อฉากและดีเทลเล็กๆ

ทุกสิ่งย่อมมีแฟนเดนตายเดิมอยู่ ไม่ว่าจะเป็น มังงะ อนิเมะ หรือจากเกมก็ตาม สิ่งที่พวกเขาอยากเห็นที่สุดก็คือ การเคารพต้นฉบับในส่วนที่ควรทำ และอัพเกรดในส่วนที่เป็นข้อด้อย เท่านี้ก็ได้ใจแฟนๆ ไปแล้ว ซึ่ง The Last of Us มันก็ทำแบบนั้นเลย ส่วนหนึ่งเพราะได้คนเขียนบทให้เกม อย่าง Neil Druckmann มาทำก็เลยออกมาในรูปแบบนี้

แต่ส่วนที่ต้องให้ใจเพิ่มก็คือความใส่ใจในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของมัน เช่น การจัดกล้องมุมเดียวกับในเกม การสร้างฉากที่ซ้อนทับกันอย่างลงตัว รายละเอียดเล็กๆ พวกนี้ แม้อาจจะไม่สำคัญอะไรกับคนดูทั่วไป แต่มันมักสร้างความว้าวให้กับแฟนเกมมากๆ และชวนให้เขานึกถึงสิ่งที่เคยเล่นมา เสมือนเป็น Easter Eggs ที่ต้องหากันให้เจอเลยก็ว่าได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีความหมายต่อคนที่รักต้นฉบับมากจริงๆ

4. เนื้อเรื่องชั้นดี ที่มีมาตั้งแต่ในเกมแล้ว

หากพูดกันตามตรงจะบอกว่า The Last of Us ดัดแปลงมาได้ดี ส่วนหนึ่งเพราะตัวเกมมันมีเรื่องราวที่ดีมากๆ อยู่แล้ว และหลายๆ คนก็ชื่นชมเรื่องราวของมันตั้งแต่สมัยมันเป็นเกมแล้ว แล้วถ้าจะพูดให้แฟนๆ Resident Evil เจ็บใจหน่อยก็คือส่วนหนึ่งที่หนังในแฟรนไชส์นี้ออกมาไม่ค่อยดีเท่าไร ก็เพราะวัตถุดิบดั้งเดิม มันอาจจะไม่ได้ดีขนาดนั้น (เพราะจริงๆ เนื้อเรื่องแต่ละภาคมันนิดเดียวเอง ที่เหลือก็คือการเดินสำรวจ แก้ปัญหาต่างๆ) 

ทำให้ไม่แปลกนัก หากสิ่งที่ดีอยู่แล้ว จะออกมาเป็นสิ่งที่ดีเหมือนเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเดินหน้าตามกันแบบฉากต่อฉาก ความเหมือนกันในเกือบทุกๆ ซีนที่เกมเคยทำไว้อย่างไร ตัวซีรีส์ก็ทำออกมาแบบนั้น ทำให้คนที่ชอบเกมแบบเดิม ก็ควรที่จะชอบฉบับซีรีส์ด้วย เพราะมันทำออกมาเดินหน้าตามนั้นเกือบทุกประการเลย