Daniel Craig นึกว่าโปรดิวเซอร์ 007 อำเล่นที่ติดต่อให้เขามารับบท James Bond

หลังจบ007 Die Another เดิมทีทีมงาน Eon Production อยากทำหนังภาคแยก James Bond แต่แล้วโปรเจ็คกลับโดนยกเลิก พวกเขาเริ่มรู้สึกว่าหนังแอ็คชั่นในโลกยุคต่อไปควรเป็นอะไรที่จับต้องได้มากกว่าแบบเดิมๆ บวกกับกระแสหนังแอ็คชันที่เน้นการต่อสู้โดยทักษะส่วนตัวเอาตัวรอดกำลังมาแล้ว ทำให้ภาพในหัวโปรดิวเซอร์หนังที่มีต่อ Pierce Brosnan คือคนที่ไม่ใช่ Bond ที่จะนำหนังไปในทิศทางนั้นได้ เลยเป็นที่มาในการแยกทางกับพยัคฆ์ร้ายคนที่ 5 จากไอร์แลนด์ ผ่านการพูดคุยทางโทรศัพท์ ทีมงานรู้สึกว่าคนส่วนใหญ่เห็น Bond ทำภารกิจแล้วจบงานแต่ไม่มีใครรู้จักตัวต้นที่แท้จริงของ Bond เลยมันเลยเป็นที่มาของการรีบูตแฟรนไชส์ใหม่ พาคนดูไปรู้จักพยัคฆ์ร้ายในแง่มุมใหม่แบบที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน

Casino Royale คือนิยายสายลับที่ Ian Flemming เขียนเอาไว้เล่มแรกๆ ที่เล่าถึง Bond สายลับมือใหม่ที่มีความอ่อนหัดในการตัดสินใจ สายลับผู้มีความประมาทใช้อารมณ์ตัดสินปัญหา Barbara Broccoli และ Michael G. Wilson ต้องการสายลับ 007 ที่อายุน้อยมานำ พวกเขาอยากได้คนโนเนมที่พร้อมจะนำพาหนังไปข้างหน้า พวกเขาได้เห็นผลงาน Daniel Craig จากหนังมาเฟียเรื่อง Layer Cake และนั้นจึงทำให้โปรดิวเซอร์รีบติดต่อให้ชายหนุ่มจากเมือง Chester รีบมาออดิชั่นบท Bond ทันที


“คุณติดต่อมาผิดคนแล้วนะ ผมไม่ใช่เจมส์ บอนด์แบบที่คุณฝันหลอกนะ” Daniel กล่าวในทีแรก ในเวลานั้น Craig ทำงานเป็นนักแสดงเขาไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังอะไรเลย เขาคือตัวร้ายและตัวประกอบในหนัง Lara Croft: Tomb Raider, Road to Perdition นอกจากนี้เขายังรับจ็อบทำงานอื่นเสริมไปด้วย ชีวิตดูเหมือนจะห่างไกลกับบทพยัคฆ์ร้าย แต่โปรดิวเซอร์คู่หูแห่ง 007 กลับมองว่าเขาคนนี้แหละดาราโนโนมที่จะนำพาหนังไปข้างหน้าได้ “พวกเราอยากให้คุณมาเป็นเจมส์ บอนด์” Barbara บอกกับ Daniel


ทว่าช่วงแรกเขาปฏิเสธไปแบบไม่คิดอะไรมาก แทนที่จะคว้าโอกาสนี้ไว้ดันเมินเฉยซะอย่างนั้น Daniel คิดว่ามันคงเป็นเรื่องขำๆ ภาพลักษณ์ของเขาไม่ได้ใกล้เคียงกับนิยายของ Ian Flemming เลยด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะไปออดิชั่น และติดลิสต์ 3 คนสุดท้ายร่วมกับ Sam Worthington และ Henry Cavill ก่อนที่สุดท้ายเขาจะชนะโปรดิวเซอร์หนังไปเต็มๆ พอมีข่าวลือว่าเขาคว้าบท 007 ออกมากระแสโดนตีกลับทันทีตั้งแต่ยังไม่แถลงข่าวเปิดตัวด้วยซ้ำ แถม Craig ก็ไม่ค่อยกระตืนรือร้นอีกตั้งหาก เมื่อบทหนัง Casino Royale เสร็จ เดือดร้อน Pierce Brosnan Bond คนก่อนที่โทรมาคุยเป็นการส่วนตัวเพื่อให้เขาตั้งหน้าตั้งตาโฟกัสกับบทบาทนี้เพราะมันจะเปลี่ยนชีวิตคุณไปตลอดกาล


และเมื่อถึงวันเปิดตัวเป็นพยัคฆ์ร้ายคนใหม่ คนที่ 6 สื่อมวลชนอังกฤษมารอทำข่าว สิ่งที่ได้กลับมาคือการโดนกระหน่ำถามประเด็นจี้แหลกใส่ Daniel Craig ไม่มีชิ้นดี ถึงผลงานการแสดงที่ผ่านมาๆ ไหนจะเรื่องบุคลิกท่าทางไม่ได้ใกล้เคียงกับนิยายต้นฉบับ รูปร่างไม่ได้สูงใหญ่สมาร์ทเหมือน Bond คนเก่าๆ ไหนจะมีนัยตาสีฟ้า ไว้ผมบลอนด์ โหงวเฮ้งไม่มีความเป็นพยัคฆ์ร้ายเอาเสียแล้ว หนักข้อสุดคือการที่แฟนหนังรุมกระหน่ำซ้ำเติม จนมีเว็บไซต์ danielcraigisnotbond.com เปิดขึ้นมาเพื่อต่อต้านโดยเฉพาะ โปรดิวเซอร์หนังก็โดนด่าเอาใครมาเนี่ย ความกดดันถาโถมใส่เขาทันทีในวันนั้น


สุดท้ายเมื่อ Casino Royale ออกฉายภาพลักษณ์ Daniel Craig จากการแสดงของเขาทำให้เราได้รู้จัก 007 ในมุมมองใหม่ไม่มีมุกตลกขี้เล่น ไร้อาวุธเอาตัวรอด เน้นความดิบเถื่อน ถ่ายทอดความลึกทางอารมณ์ แม้รูปลักษณ์เป็นรอง ก็ชดเชยด้วยมาดเท่ๆ และลีลายียวน ผลก็คือเอาชนะใจผู้ชมได้ไม่ใช่น้อยๆที่เดิมเคยต่อต้านยังไงก็เปิดใจให้มากขึ้น จนผู้คนมากมายต่างสรรเสริญ คำครหาค่อยๆกลืนหายไป Bond คนใหม่ดูดีได้อาจไม่ต้องหน้าตาหล่อคารมคมคาย หนังเติมพาร์ทดราม่าลงไปในยุคของ Daniel เล่นกับอารมณ์ความรู้สึกเล่าเรื่องสานต่อไปยัง Quantum Of Solace, Skyfall, Spectre, No Time To DIe

ระหว่างทางการเป็น 007 เขาเผชิญหน้ากับปัญหาอุปสรรคมากมายไม่ว่าจะเป็นการรับมือจากสื่อมวลชน ที่ถาโถมมาหาเขาในฐานะ James Bond การไปแสดงหนังเรื่องอื่นที่แทบจะปรับเปลี่ยนคาแรกเตอร์อะไรได้ไม่มาก การไปพบจิตแพทย์เพื่อรับมือกับชื่อเสียงที่โด่งดังมาแบบไม่ทันตั้งตัว ปัญหาเรื่องสุขภาพร่างกายที่เล่นฉากต่อสู้เองเยอะมากจนออกอากาศหนักในช่วงตอนถ่ายทำ Spectre ที่กระดูกหักแต่ฟื้นถ่ายทำต่อเพราะไม่อยากให้กองถ่ายพักการถ่ายทำเพียงเพราะเขาคนเดียว มันคืองานที่หนักอึ่งในชีวิตของ Daniel Craig ที่เขาเองก็ทุ่มเทอย่างหนักกับบทบาทพยัคฆ์ร้ายโฉมหน้าที่ทำให้เขาเองก็เหนื่อยล้าเจ็บปวดมีปมในใจไม่แพ้กับคาแรกเตอร์ที่เขาแสดงในหนัง

เมื่อการถ่ายทำ No Time To DIe จบสิ้นปลายเดือนตุลาคม 2019 เขาถึงกับหลั่งน้ำตาออกมาเพราะภารกิจที่ใหญ่ล่วงในชีวิตเขาจบสิ้นแล้ว “หลายคนในนี้ทำงานกับผมมาทั้งห้าภาค ผมรู้ว่ามีการพูดกันไปต่างๆ นานา ว่าตัวผมคิดยังไงกับหนังเหล่านี้ และอะไรต่อมิอะไร แต่ยังไงผมก็รักทุกวินาที โดยเฉพาะภาคนี้ เพราะผมได้ตื่นขึ้นมาในทุกวันแล้วมีโอกาสได้ทำงานกับพวกคุณ มันคือเกียรติสูงสุดอย่างหนึ่งในชีวิตผม” Daniel Craig กล่าวกับทีมงานในวันปิดกล้อง No Time To Die

Bond คนที่ 6 หนัง 5 เรื่องที่แสดงมา จากเดิมที่มาแบบคนร้องยี้กลับกลายเป็นว่ามีแต่คนยกย่องว่าเขาคือ Bond ที่ดูดุดันสมจริงที่สุดกว่านักแสดงคนอื่น และยืนหยัดครองบท 007 ยาวนานกว่าดาราคนใหม่ๆ และเขาเองก็ฝากตำนานบทใหม่ให้กับหนัง James Bond ที่ตราตรึงใจจนถึงหนังเรื่องสุดท้ายจริงๆมันคือการอำลาที่ยิ่งใหญ่ของเขาแล้ว ไม่ว่า Bond คนที่ 7 จะเป็นใครแต่สิ่งที่ Daniel สร้างเอาไว้มันคืองานหนักอึ่งๆแน่ๆ