สรุปเหตุผลทำไมผู้คนทุกวันนี้ ถึงเลือกที่จะเลิกเข้าโรงหนังแล้ว
ช่วงที่ผ่านมาหลายๆ คนที่ได้กลับไปดูหนังในโรงบ้าง น่าจะเห็นถึงสภาวะคนดูที่ลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับหนังเล็กๆ ที่รอบนึงมีสัก 10 คนก็อาจจะเรียกว่าเยอะแล้ว หรือแม้กระทั่งหนังใหญ่จากที่เคยเต็มโรงในวันแรก ก็อาจจะไม่ต้องรีบเร่งไปแย่งกับใครเขาแบบเมื่อก่อน เพราะขนาดวันแรกก็ยังพอมีที่ให้เลือกสรรกันได้
ซึ่งสัปดาห์ก่อนก็มีรายงานว่าโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศนั้น ดันทำรายได้ไม่ถึงล้านบาทด้วยซ้ำ และเมื่อเฉลี่ยแล้วทำให้พบว่าการฉายรอบนึงมีผู้ชมแค่เพียง 4-5 คนเท่านั้น จึงไม่แปลกนักหากในอนาคตอันใกล้หากทางโรงภาพยนตร์ไม่ได้มีการปรับตัว หรือมีอะไรมาดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้น เราอาจจะได้เห็นจำนวนโรงหนังที่ค่อยๆ ปิดตัวลงในสาขาที่ไม่ค่อยฮิตก็เป็นได้ เพราะเทรนด์ทั่วโลก หรืออย่างดินแดน Hollywood อย่างอเมริกาเอง โรงหนังค่ายใหญ่ก็เริ่มปิดตัวแล้วเหมือนกัน และจากการที่โกดังหนังเริ่มตามอ่านความคิดเห็นของผู้คน ก็ได้พบว่ามีเหตุผลอยู่ประมาณหนึ่งที่ทำให้คนเลิกเข้าโรงกันแล้ว ส่วนจะมีอันไหนที่ตรงกับใครบ้าง ลองมาดูกันเลย
1. ราคาที่สูงเกินไป ไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพ
อย่างที่รู้กันว่า รายได้กับค่าใช้จ่ายของคนในประเทศเรา มันไม่สัมพันธ์กันมาสักพักแล้ว หากเทียบด้วยค่าแรงขั้นต่ำที่ล่าสุดอยู่ที่ 315 บาทต่อวัน เทียบกับค่าตั๋วหนังที่ราคา 200 – 400 บาทแล้ว ก็แทบจะเท่ากับว่าการทำงาน 1 วันนั้น เอาไปดูหนัง 1 เรื่องก็หมดแล้วโดยที่ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลย ซึ่งก็นับว่าเป็นราคาต่อที่นั่งที่สูงมากๆ เมื่อเทียบกับรายได้จริงๆ
แต่ทางเพจก็มีคำแนะนำมาให้ สำหรับคนที่ดูหนังเยอะๆ โรงหนังของค่ายหนึ่งก็มีบัตรในราคาเหมาอยู่ในราคา 300 บาทต่อเดือน ดูกี่เรื่องก็ได้ หรือสำหรับนักเรียน นักศึกษาอยู่ที่เพียง 200 บาทต่อเดือนเท่านั้น หรือสำหรับขาจรเอง หากกดดูที่ตู้ซื้อตั๋ว จะพบกับโปรโมชั่นเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นค่ายโทรศัพท์ หรือบัตรเครดิตต่างๆ ก็อาจจะทำให้ราคาตั๋วอยู่ในช่วง 100 กว่าบาทได้เช่นกัน ซึ่งก็นับว่าสูงอยู่ดีเมื่อเทียบกับราคาตั๋ววันพุธในสมัยก่อน
2. การมาของ Streaming ที่หนังมาเยอะ และลงเร็วขึ้น
ด้วยการแข่งขันของ Streaming แต่ละเจ้า เพื่อดึงดูดให้คนมา Subscription ใน App ตัวเอง จึงไม่แปลกใจนัก ที่หลายๆ เจ้าจะพยายามดึงเอาหนังที่ฉายในโรงมาลงให้ได้เร็วที่สุด อย่างที่เห็นกันว่าช่วงนี้หนังโรง ผ่านไปเพียงไม่นาน เราก็ได้ดูใน Streaming กันแล้ว ทำให้คนก็มองว่า ไม่เห็นต้องรีบไปดูในโรงและจ่ายเพิ่มเลยเพราะแปปเดียวก็ได้ดูใน Streaming ที่ตัวเองสมัครไว้อยู่แล้ว
มองง่ายๆ อย่างเจ้าใหญ่อย่าง Disney Plus Hotstar เองก็เอาหนัง Marvel ที่เพิ่งฉายในโรง มาลงภายในช่วงประมาณเดือนครึ่งเท่านั้น และที่หนักกว่านั้น บาง Streaming ในเมืองนอกงี้ ก็เล่นเอาหนังฉายโรงพร้อมกับ Streaming ไปเลย จึงไม่แปลกใจนัก หากคนจะเลือกดูอยู่บ้านมากกว่า แม้ว่าจะเป็นหนังใหญ่ๆ ก็ตาม เพราะใช้เวลารอไม่นานจริงๆ แถมยังดูได้ทั้งบ้านในทีเดียวอีกด้วย
3. Lifestyles ที่เปลี่ยนไป มีอะไรให้ทำและต้องทำมากขึ้น
ต้องบอกว่าทุกวันนี้มีกิจกรรมหลากหลายให้ทำเยอะมากๆ ไม่ว่าจะเป็น เกมก็ต้องเล่น คาเฟ่ก็ต้องไป หนังสือก็ต้องอ่าน เที่ยวก็ต้องมี พัฒนาตัวเองก็ต้องทำ งานที่มีก็เยอะมากมาย จนทำให้บางเวลาเราต้องเลือกว่าจะทำอะไร ซึ่งการดูหนังนั้น ไม่ใช่กิจกรรมที่ใช้เวลาน้อยเลย เพราะลำพังแค่หนังอย่างเดียวก็ใช้เวลาเกิน 1 ชั่วโมงครึ่งแล้วแน่ๆ เจอยาวหน่อยก็อาจจะ 2 ชั่วโมงกว่า แถมเข้าโรงเร็วก็ยังต้องดูตัวอย่างรออีกกว่าเกือบครึ่งชั่วโมง
นี่ยังไม่รวมเรื่องการเดินทางที่แทบจะเป็นอุปสรรคคนเมืองด้วย ทำให้การออกไปดูหนังนั้นดูเป็นอะไรที่ใช้เวลาเยอะเหลือเกิน แถมภาพสวยๆ ก็ไม่มีเท่าไปคาเฟ่ ที่ทุกวันนี้แทบจะกลายเป็นบ้านหลังที่สองของบรรดาคู่รักไปแล้ว เพราะเมื่อก่อนคนอาจจะไปเดทดูหนังกัน แต่ทุกวันนี้ก็เปลี่ยนเป็นไปถ่ายรูปให้แฟนที่คาเฟ่กันแทบทั้งนั้น จนทำให้เวลาเหล่านี้ก็เบียดเบียนเวลาดูหนังที่อาจจะเคยมีไปโดยปริยายจริงๆ
4. Hidden Cost ที่ตามมา มากเสียจนไม่คุ้มค่า
เพราะการดูหนังมันมักไม่จบแค่การไปดูหนัง เพราะโรงหนังส่วนมากก็อยู่ในห้างสรรพสินค้า หากใครเดินทางสะดวกก็โชคดีไป แต่หากใครที่ต้องขับรถเข้าเมืองเพื่อไปดูหนังสักเรื่องนี่ บางทีก็ต้องเผชิญหน้ากับรถติด เสียค่าน้ำมัน (ที่ราคาสูงปรี๊ดในตอนนี้) รวมถึงเวลาที่ต้องเสียไปก็มากขึ้นไปอีก หรือหากใครใช้รถไฟฟ้าก็ไม่ได้ถูกนัก เพราะเอาเข้าจริงไปกลับก็อาจจะโดนไปเกือบ 100 เหมือนกัน แถมเมื่อไปถึงก็ต้องเผชิญกับร้านอาหารในห้างที่ราคาสูงไม่แพ้กัน แม้แต่ใน Food Court ธรรมดาก็อาจจะเจอจานละเกือบ 100 ได้อีกนั่นแหละ
เมื่อเอาไปเทียบกับการดูหนังอยู่บ้านก็จะพบว่าเราแทบไม่ต้องเสียอะไรเพิ่มเลย นอกจากค่าไฟในบ้านตัวเอง จริงอยู่ที่บรรยากาศ และคุณภาพภาพและเสียงอาจจะต่างกัน แต่สุดท้ายแล้วในยุคแบบนี้ การประหยัดและความสะดวกสบายก็เป็นอีกปัจจัยอันดับต้นๆ ที่คนยังมองอยู่จริงๆ
5. ความเป็นส่วนตัว และอิสระในการดูหนังที่มากขึ้น
แน่นอนว่าโรงหนังมันคือการรวมตัวของคนหมู่มาก ซึ่งหลายคนก็ไม่ได้มีมารยาทส่วนรวมเท่าที่ควรจะเป็น ทำให้เราอาจจะพบกับพฤติกรรมหลายอย่างที่น่ารำคาญ อาทิ การเล่นมือถือในโรงจนแสงแยงตา การนั่งพูดคุยกันระหว่างดูหนังไปด้วย การถีบเบาะต่างๆ นานา และอื่นๆ อีกมากที่ให้เราไม่ได้สนุกกับหนังอย่างที่ควรจะเป็นเพราะต้องมารับมือกับคนกับพวกนี้ พร้อมทั้งยังรู้สึกติดไปด้วยว่า มันช่างไม่มีความเป็นส่วนตัวเอาซะเลย
ต่างกับการดูที่บ้านอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่มีใครมากวนเราก็คงสนุกกับหนังได้อย่างเต็มที่ (แต่บางบ้านก็ทำแบบนั้นไม่ได้แหละ 55+) แถมเวลาจะลุกไปเข้าห้องน้ำทีก็ไม่ต้องกลัวพลาดฉากสำคัญ เพราะก็สามารถกดหยุดก่อนได้ จะไปเตรียมน้ำ ขนมนมเนยก็สามารถทำได้อย่างอิสระ จนหลายๆ คนมองว่านี่แหละประสบการณ์ดูหนังอย่างสบายใจที่แท้จริง