Tick, Tick Boom! (2021)
ติ๊ก ติ๊ก ... บูม!
คะแนน
โกดังหนัง
นี่คือหนังที่แฟนๆละครเวที คนรักเสียงเพลงไม่ควรพลาด Andrew Garfield ยกระดับการแสดงตัวเองไปอีกระดับ มันทรงพลังมากปังมาก กล้าพูดเลย
คำคมจากภาพยนตร์
"Action is more important than words."
"การกระทำสำคัญกว่าคำพูด"
เรื่องย่อ
Jonathan Larson คอมโพสเซอร์หนุ่มผู้โด่งดังจากละครเวทีเรื่อง Rent กับเรื่องราวการเกิดแรงบันดาลใจของเขาในช่วงที่เขากำลังล้มลุกคลุกคลาน หาทางนำพาตัวเองไปสู่เส้นทางละครเวทีที่เขาใฝ่ฝัน ความพยายามของเขาสู้หยิบตาเพื่อทำละครเวทีเรื่องแรกเกิดขึ้นจริงให้ได้ แต่ระหว่างทางเขาเผชิญหน้ากับอุปสรรค และเขาก็เริ่มคิดแล้วว่าจะเดินหน้าหรือจะอยู่ไปวันๆแล้วปล่อยให้ฝันพังทลาย
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Tick, Tick… Boom! เป็นภาพยนตร์มิวสิคัลที่น่าจะเติมเต็มความฝันให้ใครหลายๆคนที่ยังไม่รู้ว่าจะหาทางออกให้ชีวิตเพื่อไปตามหาความฝัน หรือจะทนอยู่ไปวันๆ หนังหยิบเรื่องราวของคนมีพรสรรค์ แต่ไม่กล้าลงมือทำอย่างจริงจังสักทีเลยเป็นเหมือนฝันลอยๆ พล็อตเรื่องเหมือนเป็นการตั้งคำถามกับตัวละครว่าทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่ที่ 2 มือเรา และเนื้อหาก็ซัดตรงประเด็นผ่านการนำเสนอในรูปแบบมิวสิคัล เราคิดว่าคนชอบหนังเพลง ชอบความจะรักผลงานเรื่องนี้
- สายหนังมิวสิคัล
- สายหนังดราม่า
- สายหนังที่ตามหาความฝัน
รีวิว / สรุปเนื้อหา
ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นการแสดงงที่มีคุณภาพของ Andrew garfield เราต้องพูดว่าผู้ชายที่นำแสดงในหนัง ตีความเป็นชายหนุ่มวิ่งตามหาความฝันเพื่อได้ทำเพลงได้ทำละครเวที ไม่มีใครมีทางเดินที่งดงามทุกคนมีบาดแผลเส้นทางขรุขระ ชีวิตของ Jonathan ก็แบบนั้นชีวิตเด็กเสิร์ฟ มีพรสววรค์การทำเพลงละคร แต่เขาก็เหมือนคนทั่วไปที่สรุปแล้วเราจะอยู่กับสิ่งที่รักหรือจะอยู่ไปวันๆเพื่อมีชีวิตรอด จริงๆบางมุมหนังมีความคล้าย Animation เรื่อง Soul ตัวละครมีความฝันเกี่ยวกับเสียงเพลง แต่ด้วยสภาพสังคมที่เขาทำงานอยู่เขาไม่กล้าที่จะลงมือทำจริงจัง มันเลยทำให้คนเป็นชาติวัยใกล้ 30 ปี ที่ดูไม่จริงจังกับชีวิต มีแฟนมีคนรัก ได้แค่มองคนอื่นที่มีหน้าที่การงานที้ดี หนังเหมือนจะเข้าอกเข้าใจชีวิตคนที่มีฝันจะไม่ลงมือทำฝันตัวเองอย่างจริงจังดูเลื่อนลอยเกินไป เล่าถึงปัญหาของคนที่อยากสานฝันตัวละคร ขนาดว่าเขียนเพลงดีมีไอเดียในการทำเมโลดี้เพลงแท้ๆ จริงๆหนังเองก็สะท้อนให้เห็นภาพของวัยกลางคนว่าจะไปทางไหนดีกันแน่ เพราะตัวละครเอกก็มีความกลัว สับสนปมเปเต็มไปหมดมันเลยรั้งไม่ให้ชีวิตไปไหน
เราชอบที่หนังบาลานซ์ความเป็นมิวสิคัลกับพาร์ทดราม่าได้ลงล็อค การปูเรื่องราวของชายหนุ่มที่หาหนทางชีวิตที่ไล่เรียงถึงปัญหามากมายที่เกิดขึ้นจากตัวเขาเองที่ดูไม่จริงจังกับความฝันสักเท่าไหร่ทั้งที่ความสามารถนั้นเหลือล้น จริงๆประเด็นหนังที่สอดแทรกลงไปค่อนข้างคมคายพอเล่าเรื่องผ่านเนื้อเพลงมิวสิคัลในแต่ละฉากมันค่อนข้างทรงพลัง แต่ละซีนที่ Jonathan เผชิญหน้ากับความผิดหวัง ความสุข ความสำเร็จ หนังสอดประสานองค์ประกอบได้ดีเกินกว่าที่คาดคิดไว้ ตัวละครที่ Andrew เล่นเหมือนพาผู้ชมเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์สำคัญได้ เพลงในหนังขับเคลื่อนให้เรื่องราวมีสีสัน การร้องออกมาเพราะ จริงๆต้องชื่นชม Lin-Manuel Miranda ผู้กำกับหนังที่เชียวชาญละครเพลงเค้นศักยภาพที่ตัวเองมีออกมาได้ทั้งหมด สรรค์สร้างให้หนังเรื่องนี้มีเพลงที่กลมกล่อม ทำให้แต่ละซีนที่คนดูเต็มอิ่มโดยไม่หลุดโฟกัส แถมมุมภาพที่วางไว้ในหนังจัดแสงสีได้ดีมาก ทำให้หนังเรื่องนี้มีรสชาติและสื่อสารให้ผู้ชมได้เข้าใจว่าเวลาชีวิตนั้นมีคุณภาพ เราต้องจริงจัง มุ่งมั่น ไม่ล้มเลิกการทางไปเสียก่อน มันก็คงเปรียบเสมือนการเดินทางที่ชีวิตคนเราต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไม่งั้นก็ไม่เข้าใจชีวิตที่แท้จริง
เราว่า Andrew Garfield แบกเรื่องราวในหนังได้ดีมาก เขามาหมดทั้งโชว์พลังเสียงในการร้องเพลง กลายเป็นหนุ่มเพ้อฝันมีชีวิตไปวันๆกับแฟน เป็นหนุ่มคลั้งรัก จิตๆเขาสะกดผู้ชมได้อยู่หมัด จากการเล่นเป็น Jonathan ในเรื่อง บทจะสุขก็สุข บทจะซึ้งก็ซึ้ง บทจะเศร้าก็เศร้าบทจะดราม่าก็ดราม่าสุดขีด ไม่คาดคิดเลยว่าการไปเก็บเกี่ยวการแสดงหนังสเกลเล็กมา ทำให้ฝีมือคุณภาพพัฒนาขึ้นมากกว่าเดิม ได้เห็นอะไรใหม่ อินเนอร์เขามาเต็ม กลายเป็นชายหนุ่มที่เป็นตัวแทนคนยุคใหม่ที่พอใจชีวิตแบบแค่นี้ เหมือนเป็นภาพสะท้อนให้เราได้เห็นถึงความจริงของคนในสังคมยุคนี้ แม้ว่าตัวละครที่เขาเล่นจะเกิดเรื่องราวจริงๆเมื่อ 30 ปีก่อนก็ตาม Andrew ตีบทแตกเข้าถึงตัวละคร Jonathan ได้แบบมีเสน่ห์ แต่ในขณะเดียวกันเราก็พบว่าตัวละครนี้ก็หาคำตอบให้ชีวิตอยู่เรื่อยๆพบเจอมิตรภาพ ไม่ว่าจะเป็นสาวคนรัก เพื่อนชาย LGBTQ ที่ค่อยให้กำลังใจเดินหน้าสู่การทำละครเพลงเรื่อง Rent นั่นเอง พอคาแรกเตอร์บทบาทที่เขาเล่นไว้ออกมาดี มันเลยทำให้นักแสดงคนอื่นๆ เวลาเข้าฉากเล่นได้ง่ายเป็นธรรมชาติ ทั้ง Alexandra Shipp ในบท Susan คนรักที่อยู่ด้วยกันและพบเจอความเจ็บปวด , Robin de Jesúsในบท Michael เพื่อน LGBT ที่หนุนหลัง Support เขาอยู่ตลอดและ Vanessa Hudgens หญิงสาวพลังเสียงคุณภาพที่ร้องเพลงได้เยี่ยมแทบทุกฉาก
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- หนังใช้เวลาพัฒนาโปรเจ็คนานเกือบ 7 ปี
- หนังติดโผ 10 หนังน่าดูในปี 2021 จากสถาบัน American Film Institute Awards
- Andrew Garfield คือตัวเลือกแรกและตัวเลือกเดียวของผู้สร้างในการรับบทนำ Jonathan Larson