The Butterfly Effect (2004)

เปลี่ยนตาย ไม่ให้ตาย

The Butterfly Effect Poster
8.5/10

คะแนน
โกดังหนัง

สุดยอดหนังพล็อตสุดเจ๋งกับการย้อนเวลาเปลี่ยนอดีตแต่กระทบอนาคต อีกหนึ่งหนังในความทรงจำที่เล่นกับเรื่องเวลาได้สนุก ชวนลุ้นมากๆ

หมวดหมู่ : Drama Sci-Fi Thriller
สัญชาติ : American
กำกับโดย : Eric Bress, J. Mackye Gruber
ความยาว : 1 ชั่วโมง 53 นาที
นักแสดงนำ : Ashton Kutcher, Amy Smart, Melora Walters

คำคมจากภาพยนตร์

“You can’t change who people are without destroying who they were.”
“คุณไม่สามารถเปลี่ยนผู้คนได้ โดยที่ไม่ทำลายตัวตรที่พวกเขาเป็น”

เรื่องย่อ

อีวาน เทรบอร์น เด็กที่เติบโตมาด้วยอาการสูญเสียความทรงจำไปในบางช่วงของชีวิต ทำให้จิตแพทย์ต้องให้เขาทำการจดไดอารี่เอาไว้ เพื่อบันทึกไม่ให้ความทรงจำหายไป ทำให้ในวัยเด็กของเขาจึงเต็มไปด้วยปัญหาอย่างมาก จนกระทั่งเมื่อเขาเติบโตขึ้นมาในวัยหนุ่ม เขานั้นได้ค้นพบว่า การอ่านไดอารี่ในวัยเด็กของเขานั้น ได้พาเขาย้อนกลับไปสู่ในช่วงเวลานั้น และทุกสิ่งที่เขาได้ตัดสินใจทำในอดีตกลับส่งผลไปถึงอนาคตอย่างรุนแรง

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ The Butterfly Effect เหมาะกับคนที่ชอบหนังสายย้อนเวลาอีกเรื่อง ที่ควรต้องดูสักครั้งในชีวิต แม้ที่ผ่านมาจะมีหนังย้อนเวลาที่คอนเซปต่างกันออกไป เช่น ย้อนแล้วเพิ่มจักรวาลคู่ขนานขึ้น ย้อนแล้วแก้ไขอะไรไม่ได้ ย้อนแล้วชีวิตแฮปปี้ แต่เรื่องนี้กลับกลายเป็นแนวยิ่งแก้ยิ่งแย่เข้าไปอีก ที่จะทำให้คนดูได้ร่วมสนุกและลุ้นไปกับหนังแทบทุกครั้งที่มีการย้อนเวลากลับไป ว่าปัจจุบันจะมีผลกระทบเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรได้บ้าง ใครที่ชอบหนังย้อนเวลาเพื่อไปแก้ไขอะไรบางอย่าง ในสายหม่นๆ หน่อยอย่าง Source Code, Project Almanac แล้วนั้น ก็มีโอกาสที่จะชอบ The Butterfly Effect สูงมากๆ 

  • สายหนังย้อนเวลา
  • สายหนังไซไฟดราม่า
  • สายหนังพล็อตล้ำ

 

รีวิว / สรุปเนื้อหา

หนังไซไฟย้อนเวลาสุดเหนือชั้น ที่หยิบเอาวลีของ Butterfly Effect มาใช้ ซึ่งเจ้าทฤษฎีที่ว่านี้ มีความหมายว่า ตัวแปรเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นจากการย้อนเวลา ก็สามารถส่งต่อความเปลี่ยนแปลงแบบเป็นทอดๆ ไปจนถึงเรื่องใหญ่ในระยะยาวได้ หรือพูดง่ายๆ ก็คือการที่ผีเสื้อขยับปีกหนึ่งครั้ง ก็สร้างความเปลี่ยนต่อระบบนิเวศ ที่ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่จนเกินกว่าจะคาดเดาได้ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่หนังเอามาใช้ ในการที่ตัวเอกกลับไปเปลี่ยนแปลงอดีต แต่กลับส่งผลถึงอนาคตอย่างใหญ่หลวง เช่น ในบางครั้งกลับทำให้ตัวละครบางคนเสียชีวิตไปเลย จากการแก้แค่เหตุการณ์เล็กๆ เท่านั้น

 

ความสนุกของหนังจึงอยู่ที่การกลับไปพยายามแก้ไข สิ่งต่างๆ ของตัวเอกในอดีต ที่มีเงื่อนไขเป็นช่วงเวลาที่จำกัด เฉพาะช่วงที่เขาเคยวูบไปเท่านั้น ประกอบกับสถานการณ์ภาคบังคับที่อาจจะแก้ไขอะไรไม่ได้มากนัก แต่สิ่งที่เขาแก้ไปก็กลับกลายเป็นยิ่งแย่ขึ้นทุกที ก็เป็นอีกพาร์ทที่ทำให้คนดูต้องมาลุ้นกันว่าสิ่งที่เขาแก้ไปนั้นจะส่งผลต่ออนาคตในรูปแบบใด เพราะเมื่อตัดภาพอนาคตมาที่ไร ก็สร้างความเหวอให้กับคนดูอยู่ในทุกครั้ง เมื่อเห็นชะตากรรมตัวละครแต่ละตัวที่เปลี่ยนไป

การดีไซน์คาแรคเตอร์ของ Evan ที่ทำให้เขาเป็นคนใส่ใจคนรอบข้างนั้น ก็กลายเป็นส่วนสร้างเงื่อนไขให้กับตัวละครหนักเข้าไปอีก เพราะการห่วงชะตากรรมของทุกคน เขาจึงต้องพยายามหา Solution ที่ดีที่สุดให้ทุกคนแฮปปี้ให้ได้ มันเลยต่างจากบรรดาหนังย้อนเวลาโลกสวยต่างๆ ที่สามารถแก้ไขให้ได้ดั่งใจและไม่ได้มีผลกระทบอะไรตามมาขนาดนี้ แต่กลับในเรื่องนี้ มันกลับทำให้เรารู้สึกว่า จริงๆ แล้วทุกๆ คนต่างก็มีเรื่องเลวร้ายในชีวิตที่อยากจะได้มีโอกาสกลับไปลองแก้ไขกันดูทั้งนั้น แต่ถ้าเราพบว่าผลที่ออกมามันช่างไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย เราจะยังเลือกที่จะกลับไปทำแบบนั้นอยู่หรือไม่ ด้วยความเจ๋งตามที่ว่ามา เลยขอนับให้เป็นหนังย้อนเวลาไซไฟอีกเรื่องที่เรารักมากจริงๆ

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • ด้วยความประสบความสำเร็จของมันเลยมีอีก 2 ภาคตามมา แต่ก็ไม่ค่อยมีความเกี่ยวข้องกับภาคแรกเท่าไรนัก แถมคุณภาพยังน่าปวดใจ จนอยากแนะนำให้มองข้ามไปจะดีกว่า
  • Logan Lerman ที่รับบท Evan ในวัย 7 ขวบในหนังเรื่องนี้ ต้องสวมคอนแทคเลนส์สีดำ เพื่อให้เข้ากับตาของ Aston Kutcher ที่แสดงเป็นตัวละครเดียวกันในตอนโต
  • ชื่อของตัวละครเอก Evan Treborn ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อสื่อถึงคำว่า “Event Reborn” ที่มีความหมายว่า เหตุการณ์เกิดใหม่อีกครั้ง