The Fabelmans (2022)

เดอะ เฟเบิลแมนส์

The Fabelmans Poster
9/10

คะแนน
โกดังหนัง

เหมือนจดหมายรักวงการภาพยนตร์ ติดโผหนังที่ชอบแห่งปีแน่นอนๆ มันน่าหลงใหลมากๆ อาจจะเป็นงานที่ดีสุดของปู่สปีลเบิร์ก เพราะเป็นงานที่เล่าเรื่องได้งดงามเติมเต็มความฝันสร้างแรงบันดาลใจให้ใครต่อใครไปแล้วจริงๆ

หมวดหมู่ : Drama
สัญชาติ : American
กำกับโดย :
ความยาว : 2 ชั่วโมง 31 นาที
นักแสดงนำ : Gabriel LaBelle, Michelle Williams, Paul Dano

คำคมจากภาพยนตร์

"Sometimes we can’t fix anything. The only thing that we can do is live with pain."
"บางครั้งเราก็แก้ไขอะไรไม่ได้ สิ่งเดียวที่เราทำได้คือทนอยู่กับความเจ็บปวด"

เรื่องย่อ

แซมมี เฟเบิลแมนส์ เด็กหนุ่มวัย 7 ขวบ ชาวอเมริกันเชื้อสายยิว ที่เกิดความหลงใหลภาพยนตร์ เมื่อพ่อแม่พาไปดูหนังในโรงเป็นคร้งแรก จนอยากจะเดินทางสายนี้ ทั้งที่ครอบครัวอบอุ่นมีพ่อเป็นวิศวกรคอมพิวเตอร์อนาคตไกล และแม่เป็นนักเปียโน พอเติบขึ้นเขาก็เริ่มต้นทดลองทำหนังด้วยกล้อง 8 mm. เป็นประจำ ทว่ารอยร้าวในครอบครัวทำให้ เด็กหนุ่มคนนี้ได้รับผลกระทบไปเต็มๆ

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ The Fabelmans เป็นหนังส่วนตัวของ สตีเว่น สปีลเบิร์ก โดยเฉพาะคนที่เป็นแฟนหนังพันธ์ุแท้ไม่ควรพลาดเด็ดขาด เพราะอ้างอิงชีวิตจริงพาไปสำรวจมุมมองใหม่ๆแบบที่แฟนหนังไม่เห็นมาก่อน การกลั่นกรองเรื่องราวทำให้เราไ้ด้เห็นถึงความรักความตั้งใจของผู้กำกับคนนี้ไม่ได้มีอะไรหวือหวาแต่เรียบง่ายลึกซึ้งกินใจ เป็นการพาไปรับชมว่าเขาโตมาในครอบครัวแบบไหน อะไรคือสิ่งที่ขับเคลื่อนให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นสุดยอดผู้กำกับคนหนึ่งของโลก แน่นอนว่ามันเติมเต็มแรงบันดาลใจให้ผู้ชมได้ต่อสู้เพื่อความฝัน ใครหมดแรงสิ้นหวังเรื่องนี้ควรค่าแก่การชมเป็นอย่างยิ่ง เรื่องนี้มัน Love Live In Cinema ของจริง

  • สายหนัง Steven Spielberg
  • สายหนังที่เบื้องหลังการทำภาพยนตร์
  • สายหนังสายรางวัล

รีวิว / สรุปเนื้อหา

ว่ากันว่าการที่ใครสักคนเอาเรื่องส่วนตัวมาสร้างเป็นภาพยนตร์ย่อมมีความสุ่มเสี่ยง เพราะเรื่องส่วนตัวบางครั้งไม่ทำให้คนอื่นเชื่อมโยงในวงกว้างได้ แต่เมื่อ สตีเวน สปีลเบิร์ก ลองดีสักครั้งก็ไม่ได้เสียหายอะไร การหยิบชีวิตในวัยเด็กที่กำลังค้นพบค้นหาตัวเองว่าต้องการอะไร และเมื่อรู้คำตอบดีอยู่แล้วว่าอยากทำภาพยนตร์หลงใหลในศาสตร์การทำหนัง ก็เลยมุ่งมั่นอย่างจริงจัง กับการที่ใครสักคนจะรู้ตัวเองว่าจะเลือกเส้นทางแบบไหน การรู้ตัวตั้งแต่เด็กๆเป็นอะไรที่เจ๋งมาก เพราะคนส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตไปเรื่อยๆเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่มีจุดหมายปลายทาง แต่เฟเบิลแมนส์ ออกตัวชัดเจน และที่บ้านก็พร้อมสนับสนุนทั้งที่ครอบครัวก็มีหน้าที่การงานที่ดี เพียงแต่เส้นทางชีวิตการเป็นนักทำหนังของเขาอุปสรรคมันมาจากสภาพสังคม เขาเองก็เป็นคนยิว ชนชาติที่ฉลาด แต่ในยุคสมัยนั้นก็ไม่ค่อยมีใครยอมรับ หรือแนวคิดทางเรื่องศาสนาอีก หรือประเด็นครอบครัวที่เขาเองก็พบจุดเปลี่ยน หนังจึงเปิดพื้นที่พาไปสำรวจชีวิตคนคนหนึ่งที่ต้องแบกรับอุปสรรคมากมาย จากที่บ้านแวดล้อมที่โรงเรียน มันกลายเป็นความทรงจำที่ยากจะลืม 

ในวัยเด็กสปีลเบิร์กก็ไม่ได้มีเส้นทางชีวิตที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ เขาเองก็โดนบูลลี่ โดนกลั่นแกล้งเพราะตัวเล็กและเป็นคนที่มีเชื้อสายยิว ชีวิตพบเจอความผิดหวัง อยู่ท่ามกลางจุดเปลี่ยนของครอบครัว แต่สิ่งที่ยึดเหนี่ยวเอาไว้นั้นคือความรักในภาพยนตร์ที่เป็นแรงขับเคลื่อนชั้นดี และผลักดันให้โลกได้รู้จักพ่อมดแห่ง Hollywood ในเวลาต่อมา การลำดับเหตุการณ์ทำออกมาได้น่าสนใจ ไม่แปลกใจว่าทำไมการหยิบชีวิตในวัยเด็กมาเล่าบทหนังเขียนออกมาดี การจัดวางฉาก มุมภาพ โลเคชั่นการถ่ายทำมันออกมางดงามมากๆ สร้างบรรยากาศอเมริกันยุคก่อนได้แบบเหมือนจริง อิทธิพลในวัยเด็กของสปีลเบิร์กถ่ายทอดว่ายังหนังคุณภาพที่เขาสร้างไว้มากมาย เพราะเขาคือคนที่คิดและมอบประสบการณ์ดีๆเพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจดีๆให้ผู้ชม หนังมีฉากมากมายที่เล่าเรื่องได้น่าจดจำ คือพล็อตเรื่องไม่ได้วนเวียนแค่ชีวิตด้านบวกและด้านลบการทำเงินการเดินตามหาความฝัน แต่ยังพูดถึงประเด็นครอบครัวได้ลึกซึ้งเจ็บปวดเสียใจ จนทำให้เขาเรียนรู้เข้าใจชีวิตและเติบโตที่จะกล้าแบกรับปัญหาก้าวเดินเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ เป็นงานส่วนตัวที่มีคุณภาพมีเสน่ห์การนำเสนอที่ดีน่าติดตาม ไม่มีฉากไหนที่ให้ความรู้สึกเบื่อเลยสักนิด ผู้กำกับคนดังพยายามให้เกียรติคนรอบข้างที่ผ่านเข้ามาและจากไปเพื่อให้รับรู้ว่าในทุกๆเหตุการณ์เป็นบทเรียนชีวิตที่หล่อหลอมให้เขาเป็นนักสร้างหนังคุณภาพ

องค์ประกอบที่โดดเด่นใน The Fabelmans คือทีมนักแสดงในเรื่องนี่แหละที่ขับเคลื่อนออกมาได้น่าติดตามน่าค้นหา เรียกว่าทุกคนๆทำให้เนื้อหาแต่ละพาร์ทน่าดูน่าชมไปตลอด 2 ชั่วโมงครึ่ง ไม่ว่าจะเป็น พอล ดาโน่ นิ่งสุขุมเยือกเย็น เป็นคุณพ่อวิศวกรหัวหน้าครอบครัวที่พยายามเป็นที่คนที่ดีเป็นต้นแบบให้ลูกๆ ประคับประคองครอบครัวไปตลอดรอดฝั่ง แม้ว่ามันจะไม่สวยหรูเจ็บปวดก็ตาม ด้าน  มิเชล วิลเลียมส์  ที่ถ่ายทอดบทคุณแม่ออกมาได้ทรงพลัง ไม่แปลกใจที่เธอมีชื่อเข้าชิงออสการ์ในฐานะบทสมทบหญิง บทดราม่าเสียน้ำตาคือแบบตัวแม่ของจริง อีกคนที่ไม่พูดคงไม่ได้ก็คือ แกเบรียล ลาเบลล์ ที่สวมวิญญาณเด็กหนุ่มที่ชอบภาพยนตร์ได้น่าแบบมีเสน่ห์ เป็นเสมือนตัวแทนสปีลเบิร์กชอบออร่าการตีความเป็น เฟเบิลแมนส์ จริง ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดอนาคตคงไปได้สวยในวงการแน่ๆ

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • Steven Spielberg คิดจะทำหนังมาตั้งแต่ปี 1999
  • Michelle Williams ถูกเลือกมาแสดงเพราะผลงานเรื่อง Blue Valentine
  • หนังเข้าชิงออสการ์ 2023 ไปมากถึง 7 สาขา