Hellboy (2004)
ฮีโร่พันธุ์นรก
คะแนน
โกดังหนัง
ซุปเปอร์ฮีโร่พันธุ์ใหม่ที่กำเนิดมาจากนรก กับทีมต่อกรกับเรื่องราวเหนือธรรมชาติ อีกงานสร้างดีไซน์ชั้นดี กับเรื่องราวแอคชั่นทะลวงนรกที่ไม่ควรพลาด
คำคมจากภาพยนตร์
“My uncle used to say that we like people for their qualities but we love them for their defects.” “ลุงของฉันเคยกล่าวเอาไว้ว่า พวกเรามักชอบผู้คนที่คุณภาพของพวกเขา แต่เรารักพวกเขาที่ข้อบกพร่องบางอย่าง”
เรื่องย่อ
เฮลล์บอย ฮีโร่ที่ถือกำเนิดมาจากในนรก แต่ถูกพาตัวมายังโลกผ่านทางประตูมิติจากฝีมือของพ่อมด ราสปูติน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เพราะกองทัพนาซีพยายามหาวิธีเอาชนะสงคราม โดยการเอาอสูรกายมาในโลก แต่แล้วแผนการก็ดันถูกขัดขวางเสียก่อน เลยได้ตัวเฮลล์บอยมาแทน ซึ่งเขาก็ได้เติบโตมาจากเลี้ยงดูของศาสตราจารย์บลูม นักวิทยาศาสตร์ที่รู้สึกถูกชะตากับเขา เมื่อเวลาผ่านไป เฮลล์บอย ก็ได้เติบโตขึ้น และได้สังกัดหน่วยพีอาร์ดี ที่มีไว้เพื่อป้องกันเหตุเหนือธรรมชาติ จนกระทั่งพ่อมดผู้ชั่วร้ายก็กลับมาอีกครั้ง เขาและทีมจึงต้องหาทางหยุดเหตุการณ์เหล่านี้ให้ได้
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Hellboy น่าจะเหมาะกับคนที่อาจจะกำลังเบื่อหนังฮีโร่แบบเดิม และได้ลองพลิกมาในมุมที่ได้เห็นปีศาจกลายมาเป็นฮีโร่ดูบ้าง ซึ่งนอกจากภาพลักษณ์สีแดงน่าจดจำแล้ว ยังมีคาแรคเตอร์อารมณ์ร้อน ขึ้บ่น กวนส้นเท้า ก็รับรองได้ว่าแทบไม่มีหนังฮีโร่เรื่องไหนที่ใส่ตัวเอกมาแบบนี้ก็นับว่าเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งเลย อีกทั้งใครที่ชอบงานสายดาร์คแฟนตาซีของ Guillermo del Toro อยู่แล้วด้วย ก็น่าจะสนุกไปกับการเสพงานออกแบบ และงานศิลป์ต่างๆ ในเรื่องควบคู่กันไปด้วย เอาเป็นว่าใครชอบหนังแฟนตาซีสัตว์ประหลาดและการต่อสู้แบบนี้เหมือย่างพวก Van Helsing, Blade อะไรประมาณนี้ น่าจะถูกใจทีเดียวเชียว
- สายหนังซุปเปอร์ฮีโร่จากคอมมิค
- สายหนังแอคชั่นฮีโร่
- สายหนังดาร์คแฟนตาซี
รีวิว / สรุปเนื้อหา
จาก Comic สุดดาร์คของค่าย Darkhorse ที่เปิดตัวฮีโร่แนวใหม่สายพันธุ์นรก จนไปเข้าตาผู้กำกับ Guillermo del Toro ที่มาในสายดาร์คแฟนตาซีอยู่แล้ว จึงหยิบเรื่องราวของตัวละครตัวนี้ให้ออกมาโลดแล่นในโลกภาพยนตร์ โดยไปเริ่มต้นตั้งแต่จุดกำเนิดของซุปเปอร์ฮีโร่รายนี้กันไปเลย ซึ่งแน่นอนว่าพองานมาลงในมือผู้กำกับคนนี้ ก็เป็นโอกาสชั้นดีที่จะเอาฝันร้ายของเขามาผสมผสานในการดีไซน์ตัวละครต่างๆ ที่ทำออกมาได้อย่างน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นในละครทั้งฝั่งดีและฝั่งร้ายรวมถึงลูกสมุนต่างๆ ที่ผ่านกระบวนการคิดออกมาได้เป็นอย่างดี
จนทำให้คาแรคเตอร์ทั้งหลายในเรื่องจึงออกมาน่าจดจำ ไม่ว่าจะเป็นตัว Hellboy เอง ที่ได้ดาราอย่าง Ron Perlman มารับบทนี้ ด้วยโครงหน้าอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา กับลักษณะนิสัยที่ดูยียวนกวนส้นเท้าตลอดเวลา ก็ทำให้รู้สึกว่าเขาเป็น Hellboy ที่เหมาะสมดีจริงๆ ยังไม่รวมถึงสมาชิกในทีมอย่าง เอ๊บ เซเปียน ที่ดีไซน์ออกมาได้เท่ไม่แพ้กัน เพียงแต่น่าเสียดายที่มีบทให้น้อยไปสักหน่อย ทั้งๆ ที่เป็นตัวละครที่น่าสนใจมาก ไปจนถึง ลิซ แฟนสาวของพ่อหนุ่มอารมณ์ร้อนอย่าง Hellboy ก็มีมิติตัวละคร และการมองโลกที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย รวมถึงการออกแบบท่าใช้พลังของเธอก็ทำออกมาได้เท่ดีมกาๆ
ส่วนที่น่าเสียดายของหนัง แม้ว่ามันจะมีงานสร้างและการดีไซน์ที่ดีแล้วนั้น แต่การเล่าเรื่อง และเรื่องราวของภาคนี้กลับถ่ายทอดออกมาได้ธรรมดามากๆ แต่ละสิ่งที่เกิดขึ้นในหนังก็ล้วนแล้วไม่เกินคาดเดาสักเท่าไร ทำให้ความเข้มข้นแบบดาร์คๆ ที่หนังควรจะมีก็หายลงไปอย่างน่าเสียดาย แม้ว่าหนังจะใช้เวลาปูเรื่องออกมาได้น่าสนใจขนาดไหนก็ตาม สุดท้ายแล้วก็กลับกลายเป็นตัวละครเอกที่วิ่งไล่ตบตัวร้ายแบบง่อยๆ จนแทบไม่มีอะไรในฉากต่อสู้ที่น่าจดจำได้สักเท่าไร เลยทำให้มันยังออกมาค่อนข้างธรรมดาไปนิด เมื่อเทียบกับงานดีไซน์ที่เหนือชั้นซะขนาดนี้ แต่สุดท้ายแล้วหนังก็ยังมีปมในเรื่องชาติกำเนิดตัวละครที่ไม่ควรให้มากำหนดชีวิตและทิศทางการใช้ชีวิตที่ถ่ายทอดออกมาได้ดีอยุู่ไม่น้อย จนรวมๆ ก็ยังนับว่าเป็นหนังฮีโร่ที่มีความกลมกล่อมอยู่พอตัว
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- จริงๆ แล้วตัวละครอย่าง Abe Sapien ต้องใช้ดาราถึงสองคน โดยมี Doug Jones ในการแสดงเป็นเขา ในขณะที่เสียงของเขาถูกพากษ์โดยชายที่ชื่อว่า David Hyde Pierce ที่เจ้าตัวไม่ขอรับเครดิตในหนังแต่อย่างใด เพราะเชื่อว่ามันคือการสร้างสรรค์ของ Doug Jones อยู่แล้ว
- เพื่อเตรียมตัวในการรับบทนี้ Ron Perlman ได้ตามอ่าน Comic ของ Hellboy ทั้งหมดที่มี รวมถึงออกกำลังกายวันละ 3 ชั่วโมง 5-7 วันต่อสัปดาห์ เพื่อให้มีหุ่นที่ดีพอจะเป็น Hellboy ได้อย่างดีที่สุด
- จากความสำเร็จของ Blade 2 ภายใต้การกำกับของ Guillermo del Toro ทำให้เขาได้สิทธิเลือกในทันทีว่าจะทำ Blade Trinity ต่อ หรือจะมาทำ Hellboy ซึ่งแน่นอนว่ามันทำให้ Hellboy ได้ไปต่อ ส่วนหนังชุด Blade ก็ดับอยู่แค่ภาค 3 นั้นด้วยคุณภาพที่คนดูไม่โอเคกัน