The Raid (2011)
ฉะ! ทะลุตึกนรก
คะแนน
โกดังหนัง
หนังแอคชั่นสุดมันส์สายพันธุ์ดุจากอินโดนิเซีย กับภารกิจตะลุยตึกกวาดล้างยาเสพติด ที่มีงาน Martial Art สุดเนี้ยบ ซัดกัน เดือดดาล จนแซงหน้าแอคชั่นไทยไปแล้ว
คำคมจากภาพยนตร์
“Go to work and have fun.” “ไปทำงานให้สนุกซะนะ”
เรื่องย่อ
รามา หนึ่งในทีมตำรวจ ที่ต้องไปร่วมภารกิจจับตัวพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ของประเทศ ที่กบดานอยู่ในอพาร์ทเมนท์เสื่อมโทรมแห่งหนึ่งในชั้นบนๆ ทำให้ทีมเจ้าหน้าที่ต้องค่อยๆ ฝ่าด่านที่ต้องเผชิญกับสมุนของเจ้าพ่อรายนี้ในแต่ละชั้น เพื่อไปให้ถึงชั้นบนที่ตัวบอสอาศัยอยู่
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ The Raid นั้น ส่วนตัวจัดให้อยู่ในหมวดของหนังแอคชั่นที่อยากให้ได้ดูสักครั้งในชีวิต ด้วยความดุ เดือด ดิบ ในแบบที่หาไม่ค่อยในหนัง Hollywood ประกอบกับคิวบู๊ที่สอดประสานกันอย่างลงตัวไม่ว่าจะไปการใช้อาวุธ หรือศิลปะการต่อสู้มือเปล่าก็ทำออกมาได้เดือดดาลเหลือเกิน ด้วยความสามารถของดาราแล้ว ก็ทำให้การต่อสู้เข้มข้นพริ้วไหวเป็นอย่างยิ่ง และตัวหนังเองก็ยังมันส์ได้มากขึ้นกว่านี้อีกในภาค 2 ของมัน ที่เพิ่มทั้งในส่วนของเรื่องราว และฉากแอคชั่นที่ดุกว่าเดิม ใครที่ชอบหนังศิลปะการต่อสู้มือเปล่าสไตล์เอเชียแบบ องก์บาก หรือ หนังตะลุยตึกคล้ายๆ กันอย่าง Dredd นี่คืออีกเรื่องที่ต้องดูในชีวิตนี้เลย
- สายหนังแอคชั่นเอเชีย
- สายหนังแอคชั่นศิลปะการต่อสู้
- สายหนังแอคชั่นมันส์ระห่ำ
รีวิว / สรุปเนื้อหา
หนังแอคชั่นงานดี ที่ได้มีโอกาสไปโกอินเตอร์ของประเทศอินโดนิเซีย ที่ส่ง Iko Uwais ได้แจ้งเกิดในฐานะแอคชั่นสตาร์คนใหม่ของโลกไปพร้อมๆ กัน ด้วยบทหนังที่ดูเหมือนไม่มีอะไร กับภารกิจของทีมตำรวจที่ค่อยๆ ฝ่าด่านไปทีละชั้นเพื่อตะลุยให้ไปถึงตัวหัวหน้าตอนสุดท้าย โดยแต่ละชั้นก็จะเต็มไปด้วยบรรดาสมุนที่มีอาวุธ และศิลปะการต่อสู้หลากหลายรูปแบบ เสมือนเกมผ่านด่าน แต่มีฉากหลังเป็นภายในตึกที่ดูเหมือนสถานที่ปิดตายแทน
ด้วยความที่หนังรู้ว่าตัวเองไม่มีบทมากนัก เลยจัดให้เดินเรื่องอย่างรวดเร็ว จากการร่ำลาลูกเมียในฉากแรกของตัวเอก ก่อนที่จะเข้าไปตะลุยในตึกเลย ไม่ต้องมีความเวิ่นเว้อแต่อย่างใด ซึ่งฉากแอคชั่นของหนังก็เรียกได้ว่าอยู่ในระดับจัดเต็ม จนไปถึง Rate R ที่ใส่ฉากโหดๆ เลือดสาด หัวกระจาย ได้อย่างเต็มพิกัดสมกับเรทที่ได้มา ก็ยิ่งเพิ่มความสมจริง ความโหด ดิบ เถื่อน ให้กับหนังได้อย่างเต็มที่ และหนังก็ยิ่งปรับโทนทวีความรุนแรงเอาสะใจ อยู่เรื่อยๆ ในช่วงที่หนังนั้นทะยานไปข้างหน้า
ส่วนความโดดเด่นที่สุดของหนังไม่ใช่ฉากยิงกันแต่อย่างใด แต่กลับกลายเป็นการออกแบบศิลปะการต่อสู้สุดเดือดที่มีชื่อว่า ‘ปันจักสีลัต’ ที่ทำออกมาได้โคตรพริ้ว และอัดกันจัดหนักสอดประสานกันได้เป็นอย่างดี ทั้งจากฝั่งพระเอก และตัวร้าย ที่มีทักษะการต่อสู้ไม่แพ้กัน พอยิ่งเอาไปประกอบกับมุมกล้องดีๆ ที่ปล่อยเราเห็นฉากซัดกันแบบเน้นๆ ไม่มีหลบมุม และเลือกจังหวะตัดต่อได้ชวนลุ้น ก็ยิ่งเพิ่มดีกรีความเดือดให้กับหนังได้มากขึ้น จนคนดูอาจจะรู้สึกเหนื่อยแทน กับการต่อสู่แบบเอาเป็นเอาตาย ที่หวังให้อีกฝั่งต้องตายจากไปอย่างเต็มที่ ทำให้แม้ว่าเราไม่ต้องรู้ปูมหลังหรือเข้าใจตัวละครก็สามารถสนุกไปกับแอคชั่นในหนังได้อย่างเต็มที่โดยไม่ต้องสนหน้าพระอินทร์พระพรหมที่ไหนกันเลย
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- ในตอนแรกผู้กำกับ Gareth Evans อยากที่จะทำหนังแอคชั่น ดราม่าสักเรื่องที่มีฉากหลังในคุก แต่กลับได้ต้นทุนมาน้อยเหลือเกิน เลยตัดจนเหลือแค่ฉากหลังเป็นในตึกเดียว ซึ่งจากความสำเร็จของภาคแรกที่กวาดทั้งเงินและได้ไปฉายทั่วโลก ในภาคสองเลยได้อนุมัติสร้างเยอะขึ้น และได้ทำฉากหลังในคุกสมใจอยาก แถมสเกลยังใหญ่เป็นระดับเมืองไปเลย
- สมาชิกในทีมหน่วยสวาททุกคนที่เราเห็นในหนัง ล้วนแล้วแต่ผ่านการฝึกจากหน่วยเนวีพิเศษของอินโดนิเซียมาหมดแล้ว เพื่อเรียนรู้เทคนิคที่จะใช้ในการปะทะทั้งหลาย ทั้งการใช้สัญญาณมือ ไปจนถึงการใช้อาวุธต่างๆ ในเรื่อง