Lone Survivor (2015)

ปฏิบัติการพิฆาตสมรภูมิเดือด

Lone Survivor Poster
8/10

คะแนน
โกดังหนัง

หนังแอคชั่นกึ่งสงครามสุดมันส์อีกเรื่อง การภารกิจเอาชีวิตรอดในแดนข้าศึก จากเหตุการณ์จริงสุดลุ้นระทึกสู่ความระห่ำจากผู้กำกับสายแอคชั่นสุดเข้ม

หมวดหมู่ : Action Biography Drama
สัญชาติ : American
กำกับโดย : Peter Berg
ความยาว : 2 ชั่วโมง 1 นาที
นักแสดงนำ : Mark Wahlberg, Taylor Kitsch, Emile Hirsch

คำคมจากภาพยนตร์

“No matter how much it hurts, how dark it gets or no matter how far you fall. You are never out of the fight
“ไม่ว่ามันจะต้องเจ็บปวดแค่ไหน จะมืดหม่นสักเท่าไร หรือจะต้องตกจากที่สูงเพียงใด คุณก็ต้องสู้ต่อไป”

เรื่องย่อ

ในปี 2005 ทหารหน่วยซีล 4 นาย ที่ต้องเข้าไปเข้าร่วมปฏิบัติการเรดวิงค์ที่หุบเขาแห่งหนึ่งใน อัฟกานิสถาน เพื่อเข้าจับกุมผู้นำของผู้ก่อการร้ายตาลีบัน แต่ในระหว่างทำภารกิจ พวกเขากลับพบเด็กสองคนที่พาแพะมาหาอาหารพอดี ด้วยความมีมนุษยธรรมจึงปล่อยเด็กทั้งสองไป โดยที่ไม่รู้ว่ามันจะนำมาสู่สถานการณ์เสี่ยงตายที่ทำพวกเขาต้องโดนตามล่า และเอาชีวิตรอดออกไปจากสถานที่แห่งนี้

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ Lone Survivor ก็เป็นหนังกึ่งๆ สงครามอีกเรื่อง ที่เป็นภารกิจทางการทหาร แต่สเกลลดลงมาเป็นแอคชั่นการเอาชีวิตรอด ของ 4 นายทหารในดินแดนของข้าศึก ที่จะทำให้คนดูร่วมลุ้นไปกับพวกเขาจนลืมหายใจ แม้ว่าหลายๆ คนจะรู้ตอนจบจากเหตุการณ์จริงๆ มาแล้วก็ตาม ทำให้มันเหมาะกับหนังแอคชั่นแบบเอาชีวิตรอดเป็นอย่างมาก เพราะหนังเต็มไปด้วยฉากแอคชั่นสุดสมจริงชั้นดี ที่มีทั้งงานภาพงานเสียงที่ชวนลุ้นระทึก ใครที่ชอบพล็อตเรื่องสไตล์นี้อย่าง Behind Enemy Lines หรือ Tears of the Sun แล้ว นี่ก็คืออีกเรื่องที่มีคุณภาพคับแก้วกว่ามาก ในแง่ของการเติมพาร์ทดราม่าดีๆ และแอคชั่นสุดเดือดเข้าไป

  • สายหนังแอคชั่นกึ่งสงคราม
  • สายหนังแอคชั่นเข้มข้น
  • สายหนังหน่วยซีล

รีวิว / สรุปเนื้อหา

ด้วยความที่ Peter Berg ก็กลายมาเป็นผู้กำกับที่ได้รับการยอมรับในการทำหนังแอคชั่นคุณภาพแห่งยุคไปแล้ว ทำให้หนังทุกเรื่องที่เขาทำก็มักจะเป็นหนังแอคชั่นที่เน้นความเข้มข้นดุดัน แต่ในขณะเดียวกันก็มักที่จะไม่ทิ้งความดราม่า หรือสาระสำคัญของหนังที่จะช่วยขับเน้นฉากแอคชั่นให้สนุกขึ้นด้วย สำหรับ Lone Survivor เรื่องนี้ก็เช่นกัน ที่หยิบเอาปฏิบัติการจริง จากหนังสือที่มีชื่อ Red Wing – ยุทธการปีกแดง จากเรื่องราวของ นายทหาร มาร์คัส รัทเทรล ผู้รอดชีวิตมาจากเหตุการณ์นั้น ซึ่งหนังก็ลดสเปคตัวเองจากความเป็นหนังสงคราม หรือประเด็นการเมืองต่างๆ มาสู่ระดับที่เหมาะสมและเข้ากับมือในการกำกับของตัวเอง จนกลายเป็นหนังแอคชั่นเอาชีวิตรอด ที่เชิดชูวีรกรรมนายทหารได้เดือดมากๆ อีกเรื่อง

ในส่วนของฉากแอคชั่นในหนัง ก็เป็นการแสดงฝีมือของผู้กำกับได้อย่างเต็มที่ ตั้งแต่ในฉากจุดเริ่มของปัญหา ไปจนถึงในช่วงท้ายๆ ก็รักษาระดับได้เป็นอย่างดี ฉากไล่ยิงกันจนกระสุนผ่านตัวละคร หรือระเบิดตู้มต้าม ก็สร้างความลุ้นระทึกได้เป็นอย่างมาก  พอไปประกอบกับงานเสียงชั้นดี ที่ได้เข้าชิงออสการ์ด้วย ทั้งสาขามิกซ์เสียงยอดเยี่ยม และตัดต่อเสียงยอดเยี่ยมแล้ว ก็ทำให้ฉากแอคชั่นที่ปรากฏหนังเต็มไปด้วยความดุดันจนอะดรีนาลีนสูบฉีดกันได้ไม่ยาก จากความสมจริงที่ได้เห็นในหนัง

แม้หนังจะใช้เวลาเดินเรื่องอยู่พักใหญ่เพื่อให้เราทำความรู้จักและเข้าใจตัวละครแล้ว พอเข้าจังหวะเข้าเรื่อง ก็ดุเดือดและชวนลุ้นไปกับมิตรภาพของพวกเขาที่ปูมาในช่วงต้น สมกับเป็นสไตล์หนังของ Peter Berg ที่ไม่ได้แค่ดูเอามันส์ แต่ประเด็นในพาร์ทดราม่าก็ยังตามเก็บมาได้ครบถ้วนได้อย่างน่าชื่นชม จนหลายๆ คนอาจะต้องเสียน้ำตาให้กับหนังแอคชั่นเรื่องนี้ได้ในตอนท้ายๆ กันเลย ในด้านการแสดงของ Mark Wahlberg ที่เป็นเหมือนดาราคู่บุญของผู้กำกับคนนี้ไปแล้ว ก็ยังคงเข้ากับหนังได้เป็นปี่เป็นขลุ่ย จนทำให้อินไปกับหนังได้มากจริงๆ

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • ด้วยความที่หนังทำมาเพื่อเชิดชูวีรกรรมของบรรดาหน่วยทหารซีล ในเรื่องจึงมีการเอาทหารผ่านศึกมาร่วมเป็นนักแสดง Extra ในเรื่อง แล้วฉากเปิดที่มีรู้ต่างๆ ก็เอามาจากหน่วยซีลจริงๆ เพื่อเป็นการให้เกียรติพวกเขา
  • ในเรื่องจริงจากปากคำของ Marcus Luttrell นั้น พวกเขาต้องเผชิญกับเหล่าตาลีบัน และเสี่ยงชีวิตถึง 5 วันเต็มๆ แต่ในหนังใช้การถ่ายทอดแค่เพียง 3 วันเท่านั้น คือแค่เท่าที่เห็นในหนังก็เหนื่อยแทนมากแล้ว แต่เรื่องจริงดันนานกว่านั้นไปอีก
  • ในฉากแอคชั่นที่บรรดาทหารทั้ง 4 ต้องกลิ้งหนีลูกปืนลงมาจากภูเขานั้น เป็นการถ่ายทำให้ทีมสตันท์กลิ้งกันลงมาจริงๆ และเป็นตกที่รุนแรงมาก โดยที่ไม่มีการใช้ CGI เลย (มิน่าถึงดูสมจริงจนเจ็บแทน) โดยสตันท์คนหนึ่งที่เล่นแทนตัว Mark Walhberg ก็ได้รับบาดเจ็บในฉากนี้จนต้องส่งโรงพยาบาลกันเลยทีเดียว