Yes Man (2008)
คนมันรุ่ง เพราะมุ่งเซย์ เยส
คะแนน
โกดังหนัง
เรื่องราวสุดชุลมุนของชายผู้เซย์เยสไปกับทุกอย่าง บันเทิงไปกับการแสดงเว่อร์ของ Jim Carrey และมีพาร์ทตลกและดราม่าที่กลมกล่อมดี
คำคมจากภาพยนตร์
“The world's a playground. You know that when you are a kid, but somewhere along the way everyone forgets it." “โลกใบนี้ก็เหมือนสนามเด็กเล่น คุณจะรู้สึกแบบนั้นก็ตอนที่คุณเป็นเด็ก แต่ในระหว่างการเติบโตดูเหมือนทุกคนจะหลงลืมสิ่งนี้ไป”
เรื่องย่อ
คาร์ล อัลเลน ชายผู้ที่ยึดติดกับกการปฏิเสธแทบจะในทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต แม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ อย่างการไปสังสรรค์กับเพื่อน เขาจึงใช้ชีวิตอย่างหดหู่ด้วยตัวคนเดียวไม่เข้าสังคมกับใคร จนวันหนึ่งเขาได้พับกับเพื่อนเก่า ที่แนะนำให้เขาเข้าสู่การสัมมนาให้ตอบรับ “Yes” ไปกับทุกอย่าง ซึ่งเมื่อทำแล้วปรากฏว่าชีวิตเขาก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แม้ว่าหลายๆ เรื่องจะดูน่าปฏิเสธก็ตาม แต่แล้วเมื่อเขามีความสัมพันธ์กับ อัลลิสัน สาวน้อยหน้าหวานขึ้นมา เขาจึงพบว่า คำว่า “Yes” อาจทำให้ชีวิตเขายุ่งเหยิงกว่าที่คิด
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Yes Man นั้น คือหนังในยุคหลังๆ ของ Jim Carrey ที่เริ่มไม่ค่อยปังเหมือนในสมัยก่อนแล้ว แต่ยังดีที่บทในหนังเรื่องนี้จะยังเหมาะกับคาแรคเตอร์แบบ Overacting ของเขาอยู่ ซึ่งข้อเสียของมันคือแม้ว่ามันจะตอบโจทย์ในด้านความตลกยังไม่สุด แต่ทว่าสำหรับคนที่มองหาหนังที่นอกจากจะเป็นตลกฟีลกู้ด ยังมอบข้อคิดดีของชีวิตให้ด้วยก็ถือว่าตอบโจทย์กันได้อยู่ หากใครที่ชอบผลงานเก่าๆ ของ Jim Carrey ที่มีสาระผสมด้วยอย่าง Liar Liar หรือ Bruce Almighty แล้ว Yes Man ก็คือหนังโทนเดียวกันเลยครับ
- สายหนังตลกข้อคิดดี
- สายหนังตลกฟีลกู้ด
- สายหนังฮาสไตล์จิมแครี่ย์
รีวิว / สรุปเนื้อหา
Yes Man เป็นหนังอีกเรื่อง ที่เข้ามาในยุคที่ชื่อเสียงและความฮาของ Jim Carrey เริ่มแผ่วลงไปมาก แต่ในเรื่องนี้ ตัวบทและพล็อตเรื่องจาก Danny Wallace ที่เคยลองใช้เวลากว่าปีในการตอบ “Yes” กับทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตว่ามันจะปั่นป่วนขนาดไหน ซึ่งรูปแบบเช่นนี้ก็ดูเข้ากับลักษณะคาแรคเตอร์ของตัว Jim Carrey เองเป็นอย่างดี เพราะในเมื่อเขาเปิดประตูตอบ “Yes” ทุกสิ่ง นั่นก็หมายความว่าหนังก็พาเขาไปเล่นได้ทุกอย่าง จนสามารถแสดงพวกฉาก Overacting ได้เข้ากับหนังและสร้างความบันเทิงออกมาได้เป็นอย่างดี
การตอบรับ Yes ต่างๆ ในหนังนั้นก็มีเอาไว้เพื่อสร้างความบันเทิงล้วน โดยเฉพาะในพวกสถานการณ์ที่เขาไม่ควรต้องตอบรับแต่ก็ยังตอบรับนั้น ก็ดูสร้างความสนุกได้เป็นอย่างดี แต่ทั้งนี้ตัวหนังก็ไม่ได้ลงไปแต่ในด้านตลกเพียงอย่างเดียว เพราะไหนๆ ก็เอาประเด็นเรื่องการตอบรับกับทุกสิ่งมาใช้แล้ว มันก็นำเราไปสู่ผลของการกระทำที่กลายเป็นพาร์ทดราม่าที่อบอุ่นใจของหนังได้อยู่เหมือนกัน และมันก็ทำออกได้พอดีๆ ไม่ฟูมฟายอะไรมากนัก
ซึ่งแม้ว่าหนังจะมี Jim Carrey นั้น แต่ต้องบอกก่อนว่าหนังมันไม่ได้ตลกมากเหมือนอย่างผลงานสมัยก่อน อีกทั้งด้วยตัวเรื่องมันยังเป็นแนวเสียดสีพวก Lifecoach ต่างๆ มากกว่าที่ชอบมองว่าการปรับมุมมองหรือปรับแนวคิดนั้นดูเป็นเรื่องง่าย แต่การตามอย่างสุดโต่งไปก็อาจทำให้ชีวิตเราพังไปได้เหมือนกัน ทำให้ Yes Man นั้น ออกมาเป็นหนังที่ดูตลกแบบพอประมาณ ดราม่าแบบกำลังดี และให้ข้อคิดดีๆ อีกเรื่องที่ดูง่าย ย่อยง่าย เหมาะที่จะหยิบมาดูในวันสบายๆ จริงๆ จนสุดท้ายเมื่อดูจบแล้ว คุณอาจจะเซย์เยสมากขึ้นก็ได้
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- หนังสร้างมาจากหนังสืออัตชีวประวัติของชายที่มีชื่อว่า Danny Wallace ชาวอังกฤษ ที่ใช้เวลากว่าปี ในการตอบ “Yes” สำหรับทุกคำถามและทุกคำขอที่เข้ามาในชีวิต พร้อมๆ กับการจดบันทึกเอาไว้
- Jim Carrey ได้กระโดดบันจี้จัมป์จริงๆ ในฉากหนึ้งข้องหนัง
- Jim Carrey นั้นปฏิเสธที่จะรับค่าตัวล่วงหน้าจากหนัง แต่ว่าเขากลับได้รับรายได้เป็น 36.2% จากกำไรของหนังแทน