Yes Man (2008)

คนมันรุ่ง เพราะมุ่งเซย์ เยส

Yes Man Poster
7.5/10

คะแนน
โกดังหนัง

เรื่องราวสุดชุลมุนของชายผู้เซย์เยสไปกับทุกอย่าง บันเทิงไปกับการแสดงเว่อร์ของ Jim Carrey และมีพาร์ทตลกและดราม่าที่กลมกล่อมดี

หมวดหมู่ : Action Fantasy Thriller
สัญชาติ : American
กำกับโดย : Peyton Reed
ความยาว : 1 ชั่วโมง 44 นาที
นักแสดงนำ : Jim Carrey, Zooey Deschanel, Bradley Cooper

คำคมจากภาพยนตร์

“The world's a playground. You know that when you are a kid, but somewhere along the way everyone forgets it."
“โลกใบนี้ก็เหมือนสนามเด็กเล่น คุณจะรู้สึกแบบนั้นก็ตอนที่คุณเป็นเด็ก แต่ในระหว่างการเติบโตดูเหมือนทุกคนจะหลงลืมสิ่งนี้ไป”

เรื่องย่อ

คาร์ล อัลเลน ชายผู้ที่ยึดติดกับกการปฏิเสธแทบจะในทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต แม้กระทั่งเรื่องเล็กๆ อย่างการไปสังสรรค์กับเพื่อน เขาจึงใช้ชีวิตอย่างหดหู่ด้วยตัวคนเดียวไม่เข้าสังคมกับใคร จนวันหนึ่งเขาได้พับกับเพื่อนเก่า ที่แนะนำให้เขาเข้าสู่การสัมมนาให้ตอบรับ “Yes” ไปกับทุกอย่าง ซึ่งเมื่อทำแล้วปรากฏว่าชีวิตเขาก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แม้ว่าหลายๆ เรื่องจะดูน่าปฏิเสธก็ตาม แต่แล้วเมื่อเขามีความสัมพันธ์กับ อัลลิสัน สาวน้อยหน้าหวานขึ้นมา เขาจึงพบว่า คำว่า “Yes” อาจทำให้ชีวิตเขายุ่งเหยิงกว่าที่คิด

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ Yes Man นั้น คือหนังในยุคหลังๆ ของ Jim Carrey ที่เริ่มไม่ค่อยปังเหมือนในสมัยก่อนแล้ว แต่ยังดีที่บทในหนังเรื่องนี้จะยังเหมาะกับคาแรคเตอร์แบบ Overacting ของเขาอยู่ ซึ่งข้อเสียของมันคือแม้ว่ามันจะตอบโจทย์ในด้านความตลกยังไม่สุด แต่ทว่าสำหรับคนที่มองหาหนังที่นอกจากจะเป็นตลกฟีลกู้ด ยังมอบข้อคิดดีของชีวิตให้ด้วยก็ถือว่าตอบโจทย์กันได้อยู่ หากใครที่ชอบผลงานเก่าๆ ของ Jim Carrey ที่มีสาระผสมด้วยอย่าง Liar Liar หรือ Bruce Almighty แล้ว Yes Man ก็คือหนังโทนเดียวกันเลยครับ

  • สายหนังตลกข้อคิดดี
  • สายหนังตลกฟีลกู้ด
  • สายหนังฮาสไตล์จิมแครี่ย์

รีวิว / สรุปเนื้อหา

Yes Man เป็นหนังอีกเรื่อง ที่เข้ามาในยุคที่ชื่อเสียงและความฮาของ Jim Carrey เริ่มแผ่วลงไปมาก แต่ในเรื่องนี้ ตัวบทและพล็อตเรื่องจาก Danny Wallace ที่เคยลองใช้เวลากว่าปีในการตอบ “Yes” กับทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตว่ามันจะปั่นป่วนขนาดไหน ซึ่งรูปแบบเช่นนี้ก็ดูเข้ากับลักษณะคาแรคเตอร์ของตัว Jim Carrey เองเป็นอย่างดี เพราะในเมื่อเขาเปิดประตูตอบ “Yes” ทุกสิ่ง นั่นก็หมายความว่าหนังก็พาเขาไปเล่นได้ทุกอย่าง จนสามารถแสดงพวกฉาก Overacting ได้เข้ากับหนังและสร้างความบันเทิงออกมาได้เป็นอย่างดี

การตอบรับ Yes ต่างๆ ในหนังนั้นก็มีเอาไว้เพื่อสร้างความบันเทิงล้วน โดยเฉพาะในพวกสถานการณ์ที่เขาไม่ควรต้องตอบรับแต่ก็ยังตอบรับนั้น ก็ดูสร้างความสนุกได้เป็นอย่างดี แต่ทั้งนี้ตัวหนังก็ไม่ได้ลงไปแต่ในด้านตลกเพียงอย่างเดียว เพราะไหนๆ ก็เอาประเด็นเรื่องการตอบรับกับทุกสิ่งมาใช้แล้ว มันก็นำเราไปสู่ผลของการกระทำที่กลายเป็นพาร์ทดราม่าที่อบอุ่นใจของหนังได้อยู่เหมือนกัน และมันก็ทำออกได้พอดีๆ ไม่ฟูมฟายอะไรมากนัก

ซึ่งแม้ว่าหนังจะมี Jim Carrey นั้น แต่ต้องบอกก่อนว่าหนังมันไม่ได้ตลกมากเหมือนอย่างผลงานสมัยก่อน อีกทั้งด้วยตัวเรื่องมันยังเป็นแนวเสียดสีพวก Lifecoach ต่างๆ มากกว่าที่ชอบมองว่าการปรับมุมมองหรือปรับแนวคิดนั้นดูเป็นเรื่องง่าย แต่การตามอย่างสุดโต่งไปก็อาจทำให้ชีวิตเราพังไปได้เหมือนกัน ทำให้ Yes Man นั้น ออกมาเป็นหนังที่ดูตลกแบบพอประมาณ ดราม่าแบบกำลังดี และให้ข้อคิดดีๆ อีกเรื่องที่ดูง่าย ย่อยง่าย เหมาะที่จะหยิบมาดูในวันสบายๆ จริงๆ จนสุดท้ายเมื่อดูจบแล้ว คุณอาจจะเซย์เยสมากขึ้นก็ได้

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • หนังสร้างมาจากหนังสืออัตชีวประวัติของชายที่มีชื่อว่า Danny Wallace ชาวอังกฤษ ที่ใช้เวลากว่าปี ในการตอบ “Yes” สำหรับทุกคำถามและทุกคำขอที่เข้ามาในชีวิต พร้อมๆ กับการจดบันทึกเอาไว้
  • Jim Carrey ได้กระโดดบันจี้จัมป์จริงๆ ในฉากหนึ้งข้องหนัง
  • Jim Carrey นั้นปฏิเสธที่จะรับค่าตัวล่วงหน้าจากหนัง แต่ว่าเขากลับได้รับรายได้เป็น 36.2% จากกำไรของหนังแทน