Unbreakable (2000)
เฉียดชะตา…สยอง
คะแนน
โกดังหนัง
สานต่อความสำเร็จ สู่ปฐมหนังพลังเหนือธรรมชาติสุดลึกลับ กับการค้นหาตัวเองของความเป็นฮีโร่ ในฉบับ M. Night Shyamalan
คำคมจากภาพยนตร์
“Do you know what the scariest thing is? To not know your place in this world, to not know why you’re here. That’s just an awful feeling” “คุณรู้ไหมว่าอะไรคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุด นั่นก็คือการไม่รู้ว่าเราควรที่ไหนในโลกใบนี้ ไม่รู้ว่าทำไมเราถึงอยู่ที่นี่ นั่นคือความรู้สึกที่แย่มากๆ”
เรื่องย่อ
เดวิด ดันน์ ชายที่ใช้ชีวิตแสนธรรมดา แต่ตัวเขากลับมีความไม่ธรรมดา เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมานั้น เขาแทบไม่ได้รับภัยอันตรายใดๆ ในชีวิต แต่มีเหตุการณ์หนึ่งที่เป็นที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนมาก นั่นก็คือการรอดจากอุบัติเหตุรถไฟตกรางโดยที่ร่างกายปราศจากรอยขีดข่วนใดๆ จนทำให้ เอไลจาห์ ชายที่ได้รับฉายาว่า กลาสแมน เพราะมีกระดูกเปราะบาง และแตกหักมาโดยตลอดชีวิต ออกตามหา เดวิด เพราะเชื่อว่าเขามีความเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ ในแบบคอมมิคที่เขาติดตามมาโดยตลอด
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Unbreakable จะเหมาะกับคนที่ทนกับหนังสายเนิบนาบเน้นการพูดคุยได้ เพราะทั้งเรื่องแทบจะเป็นอย่างนั้น กับการค่อยๆ กระเทาะเปลือกตัวละคร ในการค้นหาตัวเอง และยอมรับความสามารถ พลังของตัวเอง ซึ่งในส่วนนี้เป็นสิ่งที่หนังทำออกมาได้โดดเด่นมีน้ำหนักและน่าเชื่อถือมาก ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ได้เหมาะกับทุกๆ คน เพราะคนที่ดูหนังเรื่องนี้แล้วคอพับหลับไปหลายตลบมันก็มี แต่คนที่ชอบมันในฐานะหนังซุปเปอร์ฮีโร่ในฉบับคนธรรมดาสักเรื่องก็น่าจะหลงรักมันได้ไม่ยาก ถ้าคุณชอบหนังของ M. Night ที่เน้นบทพูดเหมือนกันอย่าง The Sixth Sense, The Village แต่มีจุดพลิกผันให้ระทึกแล้ว เรื่องนี้ก็น่าจะเหมาะไม่น้อยเลย
- สายหนังโทน M. Night
- สายหนังซุปเปอร์ฮีโร่
- สายหนังพล็อตเรื่องเจ๋งๆ
รีวิว / สรุปเนื้อหา
หลังจากประสบความสำเร็จอย่างสูงจากงานก่อนหน้าอย่าง The Sixth Sense เลยทำให้ M. Night Shyamalan ขึ้นแท่นผู้กำกับที่น่าจับตามองในทันที จนในปีถัดมา เขาก็เข็นหนังเรื่องใหม่มาในทันที โดยเอาดาราคู่บุญอย่าง Bruce Willis มาด้วยเหมือนเดิม ซึ่งในครั้งเขาก็ยังคงเขียนบทด้วยตัวเอง พร้อมๆ กับพล็อตเจ๋งอยู่เหมือนเดิม ว่าด้วยคำถามที่ว่า ถ้าหากโลกของเรามีซุปเปอร์ฮีโร่จริงๆ แต่เขาดันไม่รู้ศักยภาพตัวเองแล้วมันจะเป็นอย่างไร นั่นคือสิ่งที่เฮียมาโนช เอาใส่ในตัวละครอย่าง เดวิด ดันน์ ผู้เป็นอมตะและแคล้วคลาดต่อภัยอันตรายทั้งปวง
แต่แม้จะขึ้นชื่อว่าหนังซุปเปอร์ฮีโร่ แต่ตัวหนังกลับมีโทนความลึกลับเป็นปริศนาชวนหาคำตอบมากกว่าที่จะเอาตัวเอกไปตะลุยสู้กับเหล่าร้ายหรือพิทักษ์โลกเหมือนอย่างหนังฮีโร่เรื่องอื่นๆ จังหวะการดำเนินเรื่องจากการสำรวจตัวเองของตัวละคร มันจึงเต็มไปด้วยความเชื่องช้า จนหลายคนก็รู้สึกว่ามันน่าเบื่อเกินกว่าที่จะดูต่อ เพราะมันเน้นไปที่ฉากพูดคุย และความสมจริงที่กว่าตัวละครจะเชื่อว่าตัวเองมีพลังพิเศษจริงๆ ก็ปาเข้าไปเกือบจะจบเรื่องแล้ว แต่ในทางกลับกัน กับคนที่ค่อยๆ ชอบซึมซับไปกับหนัง หรือชอบความสมจริงของพลังพิเศษที่เกิดขึ้นในเรื่องแล้ว จะมองว่าหนังมันไต่ระดับไปได้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียว
นอกจากนี้ ในการค้นหาตัวตนของตัวละคร มันยังปูไปสู่ประเด็นปรัชญาที่น่าสนใจของการใช้ชีวิตด้วย นั่นก็คือการหาคำตอบว่าตัวเองเกิดมาทำไม และที่ไหนคือที่ที่จะเหมาะสมสำหรับเรา ซึ่งการมีอยู่ของตัวละครอย่าง ดันน์ ก็เป็นการเข้าคู่กันกับ มิสเตอร์กลาส ในฐานะขั้วตรงข้าม ที่คนนึงทรงพลังไม่ได้รับบาดเจ็บ ในขณะที่อีกคนนั้นกลับเปราะบางมาทั้งชีวิต ก็กลายเป็นส่วนเติมเต็มที่หนังถ่ายทอดอกมาได้เป็นอย่างดี อีกทั้งในพาร์ทครอบครัวของหนังก็ทำออกมาได้ดีมากๆ กับความสัมพันธ์ของพ่อ-ลูก จนทำให้ Unbreakable จึงกลายเป็นหนังฮีโร่ในจักรวาลของตัวเองแบบไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน ซึ่งหากใครถูกใจก็สามารถตามดูเรื่องราวของพวกเขาต่อได้ใน Split และ Glass กันได้เลย
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- นี่คือหนังที่ผู้กำกับและเขียนบทอย่าง M. Night Shyamalan บอกว่าเป็นหนังที่เขาชอบที่สุดเท่าที่เขาสร้างมา และแน่นอนว่ามันก็เป็น 1 ในหนังโปรดของ Quentin Tarantino ด้วย
- เป็นที่รู้กันว่าผู้กำกับ M. Night Shyamalan ชอบเข้าไปเป็น Cameo หรือแขกรับเชิญในหนังตัวเอง ซี่งเรื่องนี้ เขาก็เป็นคนขายยาในสนามแข่ง