A Star is Born (2018)

อะ สตาร์ อีส บอร์น

A Star is Born Poster
9/10

คะแนน
โกดังหนัง

รีเมคจากพล็อตเรื่องอมตะที่ทำมากี่ครั้งก็ดีแทบทุกครั้ง
อีกหนึ่งหนังแนวดนตรีชวนเศร้า ไปกับการแจ้งเกิดดาวหนึ่งดวง กับดาวดับอีกดวง

หมวดหมู่ : Drama Music Romantic
สัญชาติ : American
กำกับโดย : Bradley Cooper
ความยาว : 2 ชั่วโมง 16 นาที
นักแสดงนำ : Lady Gaga, Bradley Cooper, Sam Elliott

คำคมจากภาพยนตร์

“I just wanted to take another look at you.”
“ผมก็แค่อยากจะมองดูคุณอีกสักครั้งน่ะ”

เรื่องย่อ

แจ็คสัน เมน ศิลปินเพลงแนวคันทรีร็อคที่ประสบความสำเร็จ เขาได้บังเอิญไปพบกับ แอลลี่ นักร้องมือสมัครเล่นที่ไม่มั่นใจในความสามารถ และรูปลักษณ์ของตัวเอง ในบาร์แห่งหนึ่ง ซึ่ง แจ็คสัน ก็ได้เห็นถึงความสามารถที่มากล้นของเธอ จึงพยายามปลุกปั้นให้เธอมีความกล้าและออกไปให้คนภายนอกเห็นในฐานะนักดนตรี ด้วยเวลาไม่นานทั้งคู่ก็ได้ตกหลุมรักกัน แต่แล้วปัญหาในชีวิตคู่ก็ต้องเกิดขึ้น เมื่อชีวิตของ แอลลี่ กลับมีแต่พุ่งขึ้นสู่การเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียง สวนทางกับ แจ็คสัน ที่ความดังค่อยๆ ดับลงไปตามกาลเวลา

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ A Star is Born จะเหมาะกับคนที่ชอบหนังรัก ดราม่า ที่มีเพลงเพราะๆ มาเป็นส่วนประกอบไปด้วย แต่ต้องบอกก่อนว่ามันใช่หนังรักในเชิงฟีลกู้ดสักเท่าไร แต่ยังค่อนไปทางหดหู่จนชวนเศร้าใจด้วยซ้ำ ด้วยความที่มันพูดถึงชีวิตของคน ก็แน่นอนว่ามันก็จะมีความสุข เศร้า เหงา ทุกข์ในแบบครบรสอยู่แล้ว ซึ่งหากใครที่เป็นแฟนๆ ผลงานของคู่พระนางในเรื่องนี้ก็จะได้เห็นมุมร้องเพลงของ Bradley Cooper สลับกับมุมการแสดงดราม่าเข้มข้นของ Lady Gaga ได้อย่างน่าประทับใจไปด้วย ใครที่ชอบหนังเพลงอย่าง Begin Again, Once ที่หม่นๆ กว่าแล้ว ก็อยากแนะนำ A Star is Born เอาไว้ในอ้อมใจ

  • สายหนังดราม่าเสียงเพลง
  • สายหนังศิลปินสู้ชีวิต
  • สายหนังชิงรางวัลคุณภาพดี

รีวิว / สรุปเนื้อหา

A Star Born เป็นหนังรีเมคอมตะ ประหนึ่งบ้านทรายทองในบ้านเรา ที่ในเวอร์ชั่นแรกของหนังออกมาตั้งแต่ปี 1937 (เก่ามากกกก) และการเอามาทำครั้งนี้จากมือของผู้กำกับอย่าง Bradley Cooper เองนั้นก็นับว่าเป็นครั้งที่ 4 ของหนังแล้ว ด้วยเนื้อหาที่มันเป็นอมตะ เพราะมันพูดถึงความเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีความรู้สึกเหล่านี้ก็ไม่น่าจะเปลี่ยนไปมากนัก ทำให้หนังแต่ละเวอร์ชั่นถึงมีการใช้เค้าโครงเดิม เพียงแต่มีการปรับบริบทของเรื่องราวให้เข้ากับยุคสมัยได้เป็นอย่างดี เหมือนอย่างในเวอร์ชั่นก่อนของปี 1976 ก็สร้างความโด่งดังมากๆ ในยุคนั้น พร้อมกับเพลง “Evergreen” ที่ยังได้ยินมาถึงทุกวันนี้

ในเวอร์ชั่นล่าสุดนี้ก็ได้รับการตอบรับอย่างดี ทั้งบนเวทีรางวัล และในแง่รายได้ เพราะตัวหนังพาตัวเองไปเข้าชิงออสการ์ถึง 8 รางวัล ในฐานะที่ Bradley Cooper เองก็ค่อนข้างเป็นลูกรักคนหนึ่งของเวทีนี้ แม้ว่าจะได้รับมารางวัลเดียวจากสาขาเพลงอย่าง Shallow ก็ตาม แต่ในแง่อื่นๆ ของภาพยนตร์ก็เป็นที่รักของคนดูอยู่ดี ทั้งในแง่การที่เราได้เห็น Bradley Cooper เองในฐานะของนักร้องเพลง Country ที่เสียงดีมากๆ ไปจนถึงในมุมกลับ ที่เราได้เห็นนักร้องอย่าง Lady Gaga มาแสดงในบทดราม่าอย่างเต็มตัวได้ดีมากๆ อย่างที่ไม่เคยคิดเช่นกัน และยิ่งได้เห็นทั้งคู่ได้มาร่วมแสดงในฉากเดียวกัน และร้องเพลงด้วยกันแล้ว ก็ต่างเสริมพลังงานให้แก่กันจนออกมาน่าขนลุกดีเลยทีเดียว

ในแง่ของประเด็นเรื่องนั้นก็เข้มข้นไม่น้อย เพราะในระหว่างที่หนังกล่อมเกลาเราไปด้วยบทเพลงอยู่ตลอดทั้งเรื่อง มันก็ยิงประเด็นเข้ามาหาคนดูแบบไม่หยุดหย่อน ทั้งในแง่ของการเก็บรักษาชื่อเสียงเอาไว้ของตัวละครอันเป็นประเด็นหลัก รวมถึงความสำเร็จในชีวิตของแต่ละคน ที่กลายมาเป็นเครื่องชี้วัดคุณค่าของชีวิตว่าเราควรอยู่ต่อไปหรือไม่ และสะท้อนให้คนดูได้กลับไปคิดตามว่าสุดท้ายแล้ว ความสุขในชีวิตของเรามันมากจากไหน และอะไรที่จะทำให้เรามีคุณค่าที่จะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปกันแน่ มันเลยเป็นหนังดราม่า ดนตรีชั้นดีอีกเรื่อง ที่แม้ว่าจะเป็นการทำซ้ำ แต่ก็ทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • ในเรื่องนี้ Bradley Cooper ต้องใช้สเปรย์ฉีดให้ผิวแทนอยู่ตลอดทุกวัน รวมถึงเอาเมนทอลมาทารอบๆ ดวงตาเพื่อให้เขารู้สึกเหมือนคนเมาอยู่ตลอดเวลา ในขณะเดียวกับกับ Lady Gaga เองในเรื่องนี้ก็ใช้หน้าสดทั้งเรื่อง โดยเธอเองเติมแค่ลิปบาล์มและใช้ม๊อยเจอไรซ์เซอร์เท่านั้น
  • Bradley Cooper เคยออกมาให้สัมภาษณ์ถึงการรับมือกับสภาวะติดแอลกอฮอล์และติดยา เหมือนอย่างที่ตัวละคร Jackson ในเรื่องประสบเหมือนกัน
  • หนังได้ไปเปิดตัวครั้งแรกในเทศกาล Venice Film ซึ่งหลังจากหนังจบนั้น ทั้ง Lady Gaga และ Bradley Cooper ก็ได้รับการยืนปรบมือชื่นชมยาวนานติดกันถึง 8 นาที