The King’s Man (2021)
กำเนิดโคตรพยัคฆ์คิงส์แมน
คะแนน
โกดังหนัง
คำวิจารณ์แง่ลบไม่มีผลอะไรกับการดูหนังเรื่องนี้เลย บทหนังหยิบประวัติศาสตร์มาตีความใหม่ เดินหน้าได้รวดเร็วกระชับดุดัน เหมือนหนังสงครามย่อมๆ องค์ประกอบกลางเรื่องไปจนตอนจบร้องว้าวมาก
คำคมจากภาพยนตร์
"A gentleman does not hide in the shadows."
"สุภาพบุรุษที่แท้จริงไม่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด"
เรื่องย่อ
ในยุคสมัยก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ดยุก ออฟ อ๊อกซ์ฟอร์ด ขุนนางของอังกฤษ ต้องปกป้องประเทศให้รอดพ้นจากภัยจากสงคราม เขารู้ดีว่ามีกลุ่มคนไม่หวังดีหวังจะให้ชาติมหาอำนาจในยุโรป อังกฤษ เยอรมัน รัสเซีย เปิดฉากห่ำหั่นสงครามกัน หลังมีองค์กรหนึ่งส่งคนแทรกซึมเข้าไปปั่นหัวผู้นำชาติต่างๆ และที่รัสเซีย ก็มีบาดหลวงผู้ชั่วร้ายอย่าง รัสปูติน ชักใยราชวงส์อยู่เบื้องหลัง เขาจึงทำการส่งคนไปสอดแนมหาข่าวอยู่ตลอด และเดินหน้าเปิดฉากต่อสู้เพื่อหายับยั้งภัยร้ายไม่ให้เรื่องราวบานปลายไปมากกว่านี้
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ The King’s Man เป็นหนังแอ็คชั่นย้อนยุคกลิ่นอายสงครามที่แตกต่างจากหนังต้นฉบับที่เน้นความเว่อวังอลังการ หนังภาคนี้เลยมีกลิ่นอายการเมืองที่แอบอิงประวัติศาสตร์จริงแต่มาบิดและเล่าเรื่องใหม่ให้ดูมีสีสันแปลกตา คนที่ชอบดูหนังเรื่องนี้จะเป็นคนที่ชอบหนังย้อนยุคหนังสงคราม หรือหนัังสายลับแบบยุคก่อน พล็อตเรื่องจึงมาแบบตึงเครียด สอดแทรกกับคิวบู๊ที่มาแบบรวดเร็วฉับไหวและดูจริงจัง แฟนหนังแฟรนไชส์ชุดนี้ไม่ควรพลาด
- สายหนังสายลับ
- สายหนังสงครามย้อนยุค
- สายหนังแอ็คชั่น
รีวิว / สรุปเนื้อหา
หนังแอ็คชั่นสายลับที่แฟนหนังสายบู๊หลายๆคนรอคอย แต่ภาคนี้คะแนนคำวิจารณ์จากสื่อมากมายให้ในแง่ลบซะเยอะ แต่ทว่าเรากลับรู้สึกว่ามันดีเหมือนกันที่คนดูจะได้ไปสำรวจที่มาที่ไปของ Kingsman แบบที่ 2 ภาคก่อนบู๊เยอะเว่อวังเกินเหตุโอเว่อไปหน่อย พล็อตเรื่องอาจดูหลวมไป แต่ผู้กำกับก็แหวกแนวหยิบหน้าประวัติศาสตร์สังคมโลกครั้งที่ 1 มาเชื่อมโยงผูกเรื่องราวได้น่าสนใจ การหยิบคนในประวัติศาสตร์ที่มีตัวต้นจริงๆ อย่างรัสปูติน ตัวละครที่ทำให้โฉมหน้ารัสเซียหรือสหภาพโซเวียตล่มสลาย มาเป็นตัวโกงที่ฉลาดหลักแหลมแยบยล ถือว่าเป็นตัวละครที่สร้างสีสันให้หนังบันเทิงมาก ฉากในตัวอย่างสนุกแล้ว พอดูหนังแบบเต็มๆกลายเป็นตัวละครขโมยซีน จริงๆแล้วหนังเรื่องนี้ออกแบบฉากการต่อสู้ดีๆมาก ดูเพลินตา ไม่มีสายลับ ไม่มีอุปกรณ์ไฮเทค เทคนิคการเล่าเรื่องรวดเร็วมาก
จุดที่ทำให้หนังน่าสนใจคือบทหนัง ทำให้เราเห็นว่าทำไมโลกใบนี้จึงจำเป็นต้องมีสายลับขึ้นมาเพราะจะอดีตหรือปัจจุบันคนร้ายแฝงตัวมาในเงามืดตลอด เราไว้ใจใครไม่ได้เลย บาดหลวงผู้หญิงก็สามารถเป็นคนร้ายคนเลวได้ทั้งนั้น การทำหน่วยงานสายลับที่ไม่ขึ้นตรงกับหน่วยงานไหนๆ เพราะป้องกันให้ไม่ถูกแทรกซึมจากคนของรัฐบาล ข้าราชการ ขุนนาง นักการเมือง เพราะบางทีคนร้ายอาจเป็นคนใกล้ตัวของเราก็ได้ หนังภาคนี้มีคุณภาพมาก การสร้างสรรค์เรื่องราวสงครามดูตึงเครียดจึงจังมาก ฉากสงครามบนสมรภูมิที่ดิ้นรนกดดันมาก Feeling อย่างกับ 1917 แถมยังมีการแซวหนังบางเรื่องแบบหอมปากหอมคอ เลยทำให้หนังไม่เว่อดูน่าเชื่อถือ การวางเฟรมภาพการตัดต่อ ใส่เพลงสกอร์ลงไปทำให้อารมณ์หนังตื้นเต้นตลอดเวลา ช่วงองค์ประกอบสุดท้ายหนังพีคมากทำเราถึงขั้นร้องว้าวไปเลย
ส่วนนักแสดงผู้กำกับอย่าง Matthew Vaughn ดึงความสามารถของดาราสายดราม่าออกมาเล่นคิวบู๊แถมยังสร้างให้พวกเขามีบุคลิกเท่ห์เหมือนผู้ดียุคก่อน ใครจะไปคิดว่าเราจะได้เห็น Ralph Fiennes ได้ออกโรงเล่นฉากแอ็คชั่น ฟาดดาบ ยิงปืน ซัดกำปั้นกับคนร้ายไม่แพ้พระเอกหนุ่มรุ่มใหม่เลย, Djimon Hounsou นักแสดงทีไปมาแล้วทุกทุกแฟรนไชส์หนังดัง มารอบนี้มาเป็นมือขาวของ Ralph ชายที่ถนัดการต่อสู้ด้วยมีดทุกรูปแบบเป็นบทรองที่มีเสน่ห์พร้อมสู้เพื่อเจ้านาย, Gemma Arterton แม่บ้านของท่านหลอด แต่หน้าที่ที่แท้จริงของเธอคือนักแม่นปืนสาวที่ลั่นไกได้แม่นยำ Harris Dickinson หรือลูกชายท่านของลอร์ด ที่เล่นนี้บู๊เยอะแถมได้ใจแฟนคลับสาวๆไปเต็มๆ ด้านวายร้ายที่โดดเด่นหรือคนอื่นคงหนีไม่พ้น Rhys Ifans เจ้าของบทรัสปูติน วายร้ายจาก Amazing Spider Man ที่มารอบนี้เป็นตัวโกงที่ลุคน่ากลัว เหลี่ยมจัด ตายยากอีกตั้งหาก เอาเป็นว่าไปดูหนังในโรงแล้วบอกได้คำเดียวว่าขนลุกมาก
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- Nicolas Cage, Brad Pitt และ Rachel Weisz คือนักแสดงที่ผู้กำกับอยากให้มารับบทนำ แต่ไม่มีใครพร้อมรับงานแสดงเรื่องนี้เลย
- The King's Man กลายเป็นหนังที่เลื่อนฉายมากที่สุด เป็นจำนวน 8 ครั้ง ทั้งที่หนังถ่ายทำเสร็จมาตั้งแต่ปี 2019
- โลเคชั่นหนังบางส่วน ใช้ที่เดียวกันกับ X-Men The First Class
- หนังภาคนี้เน้นการถ่ายทำจริงไม่เน้น CGI