The Favourite (2018)
อีเสน่ห์ร้าย
คะแนน
โกดังหนัง
นี่คือหนังดีที่ไม่ควรพลาด กัดจิกเสียดสีแกร่งแย่งชิงดีชิงเด่นในผู้ดีสังคมชั้นสูงได้แบบเจ็บแสบ เด็ดดวงมากไม่ต่างจากละครไทยหลังข่าว
คำคมจากภาพยนตร์
"ชีวิตฉันก็เหมือนเขาวงกตที่คิดว่าจะหนีรอดออกมาได้ แต่สุดท้ายก็พบว่าตัวเองกำลังจนตรอก"
"My life is like a maze I continually think I have gotten out of only to find another corner right in front of me."
เรื่องย่อ
เรื่องราวในช่วงต้นของศตวรรษที่ 18 แม้สหราชอาณาจักรกำลังทำสงครามกับประเทศฝรั่งเศส แต่เศรษฐกิจในประเทศกลับเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้การปกครองของ สมเด็จพระราชินีแอนน์ มี เลดี้ซาร่าห์ เชอร์ชิลล์ สหายหญิงคนสนิทเป็นทั้งที่ปรึกษาและผู้อยู่เบื้องหลังการดูแลการปกครองทั้งหมด เพื่อทดแทนความไร้สมรรถภาพจากอาการเจ็บป่วยและอารมณ์สุดแปรปรวนของราชินีผู้อ่อนแอ แต่แล้วความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นของทั้งสองกลับสั่นคลอน เพราะการมาเยือนของ อบิเกล มาแชม สาวใช้คนใหม่ที่วางแผนใช้เสน่ห์และเล่ห์เหลี่ยมสุดแพรวพราวพาตัวเองกลับไปอยู่ในสังคมชนชั้นสูงอีกครั้ง และเมื่อความขัดแย้งทางการเมืองดุเดือดมากยิ่งขึ้นจนซาร่าห์ง่วนอยู่กับการรับมือเหตุการณ์วุ่นวายทั้งหมด อบิเกลจึงใช้โอกาสนี้ตีสนิทพระราชินีแอนน์ หวังก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งคนโปรดคนใหม่ และเธอจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาขัดขวางความต้องการของตัวเองอย่างแน่นอน
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ The Favourite คือหนังที่มีเนื้อหากัดจิกเสียดสีสังคมผู้ดีจอมปลอมที่คิดว่าตัวเองเป็นคนดีชนชั้นสูง แกร่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน นี่คือหนังพีเรียดอังกฤษที่สะท้อนถึงสังคมผู้หญิงได้ดีไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนความอิจฉาริษยาให้ร้ายกันมีทุกยุคทุกสมัย หนังเรื่องนี่คือภาพที่สะท้อนความจริงให้ผู้ชมได้เห็นถึงความเปราะบางของตัวละครที่หลายๆคนมีความอ่อนแออยู่ในจิตใจตัวเอง และแสดงความร้ายกาจในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป หนังจึงเหมาะกับคนที่ชอบดูอะไรที่เล่าให้เห็นความจริงในสังคมโดยใช้บทหนังและฝีมือการแสดงของดาราชั้นนำได้แบบมีชั้นเชิงไม่ผิดแปลกเลยที่เข้าชิงออสการ์ทั้งที่หนังมาแบบไม่มีใครคาดคิดเลยด้วยซ้ำ
- สายหนังพีเรียดย้อนยุค
- สายหนังดราม่า
- สายหนังที่ชอบการกัดจิกเสียดสีสังคม
รีวิว / สรุปเนื้อหา
เมื่อเห็นเรื่องย่อบวกกับชื่อภาษาไทยของหนัง อีเสน่ห์ร้าย ก็รู้สึกสะดุ้งมากพอแล้ว ในทีแรกเราก็คิดว่าอารมณ์หนังคงไม่ต่างจากละครไทยหลังข่าวที่ทำอารมณ์พีเรียดย้อนยุค ขี้อิจฉากันไปมาแล้วตบตีแย่งชิงกัน แต่พอดีไปดูมาแล้วรายละเอียดมีมากกว่านั้น ข้อดีคือการที่หนังหยิบตัวละครที่มีชีวิตจริงในหน้าประวัติศาสตร์นำมาเล่าใหม่ หยิบแง่มุมที่หลากหลายที่หลายๆคนมองข้ามมาเล่า นั้นคือประเด็นการแกร่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันในรั้วในวังของสังคมผู้หญิงที่อยากเป็นใหญ่อยากเป็นคนโปรดคนเด่น ทะเยอทะยาน ความมักใหญ่ใฝ่สูง ได้รับการเชิดหน้าชูตาเพื่อให้มีคนมายำเกรง ภาพของหนังดูเหมือนซีเรียสแต่พอดำเนินเรื่องแล้วมันตรงข้ามคือโทนเรื่องมีความตลกร้าย สนุกสนาน ชิงไหวชิงพริบที่ทั้งเอร็ดอร่อยและเชือดเฉือน ดราม่าที่เข้มข้นและสะเทือนอารมณ์ ที่โน้มน้าวชักจูงและทรงพลัง แถมยังทำให้เราได้คิดและเข้าใจอะไรมากมาย นอกจากนี้ผู้ชมยังได้ขำและทึ่งกับสิ่งที่ผู้กำกับหนังมอบให้ผ่านตัวละคร 3 คนที่มุมมองลักษณะนิสัยต่างกันสุดขั้ว มันคือภาพจำลองที่สะท้อนโลกของผู้หญิงที่น่ากลัวมาในรูปแบบคำพูด คำยินยอสรรเสริญ จนบางทีเราก็หลงลืมคำว่ามิตรแท้ไปเลยเมื่อเจอสิ่งเหล่านี้
ตัวละครนำอย่าง ควีนส์แอน ผู้นำของประเทศที่ดูเป็นสาวใหญ่ภาพลักษณ์ดีแต่ตรงข้าม เธอคือคนที่อ่อนแอไม่ว่าจะเป็นเรื่องร่างกายที่เผชิญกับสาระพัดโรคที่มารุมเร้า แค่เดินก็ยังลำบากเลย อารมณ์ความรู้สึกไม่อยู่กับล่องกับลอย ปราศจากความคิดมุมมองที่ชัดเจน ขาดที่พึ่งทางใจที่ดี ใช้ชีวิตแบบอยู่ไปวันๆ ทำให้เธอต้องมีผู้ช่วยอย่างซาร่าพระสหายคนสนิทที่เป็นเหมือนคนทำงานแทนคิดวางแผนเจรจาต่อรองงานบ้านงานเมืองให้ ท้าชนกับผู้คนที่หวังจะกอบโกยผลประโยชน์ประเทศ ตัวละครนี้เหมือนแข็งแรงแต่เมื่อเจอศึกรอบด้านคนในวังทำให้เธอแพ้ภัย ส่วนอบิเกล คือคนที่อยู่ในสถานะชั้นผู้น้อย มีความมักใหญ่ใฝ่สูงพยายามพาตัวเองหนีสถานะคนใช้ขึ้นมาเป็นใหญ่ ตบตาคนอื่นด้วยจริตมารยาทุกอย่างที่มี ประจบสอพลอ โดยที่หนังสามารถผสมผสานความร้ายกาจของ 3 ตัวละครออกมาได้พอเหมาะพอเจาะ ผ่านบทพูดต่อปากต่อคำ ภาษาที่เชือดเฉือนกันอย่างเมามันส์ แถมหนังยังวิจารณ์สังคมในวังที่เหล่าขุนนางไม่ได้สนใจอะไรเลยกับความทุกข์ร้อนของผู้คนที่ยากลำบากเลยสักนิด
จุดที่ชื่นชมมากคือการที่หนังสร้างสรรค์โปรดัดชั่นออกมาได้อลังการ การเซ็ตติ้งโลเคชั่นสถานที่ต่างๆปราสาท พระราชวัง การตกแต่งเสื้อผ้าคอสตูมเครื่องแต่งกายนักแสดงผู้หญิงทั้งคีย์แมนหลักและพวกบทสมทบคือให้อารมณ์เหมือนยุคเก่า การวางเฟรมภาพในการถ่ายทำที่ใช้กล้องแบบมุมกว้างทำให้ภาพแปลกแตกต่างจากหนังสไตล์พีเรียดย้อนยุคเรื่องอื่นๆ และที่ออกมาแสงดูเป็นธรรมชาติ แถมหนังยังมีดนตรีประกอบที่น้อยมาก เป็นการฉลาดเลือกที่จะปรุงแต่งให้หนังดูจริงจังมากสุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สุดท้ายถ้าไม่มี 3 นักแสดงนำก็คงจะทำให้หนังไม่สมบูรณ์แบบไปได้ เราต้องปรบมือให้กับทีมงานที่คัดสรร Olivia Colman, Rachel Weisz, และ Emma Stone มาแสดงนำนึกไม่ออกเหมือนกันถ้าไม่ใช่ 3 คนนี้จะมีใครมาเล่นบทได้สมน้ำสมเนื้อหรือเปล่า ทุกคนจัดเต็มจริตมารยาไม่เป็นสองรองใคร ตีบทแตกกระจายในคาแรกเตอร์ที่ตัวเองได้รับ โดยเฉพาะ Emma ทีเสน่ห์เหลือร้าย และแสดงได้ดีจนน่าหมั่นไส้และน่าขนลุกไปเลย ส่วน Rachel นึ่งเยือกเย็น
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- หนังเข้าชิง 9 รางวัลออสการ์ปี 2019
- Olivia Colman คว้าออสการ์ในสาขาแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม 2019
- Emma Stone ต้องปรับสำเนียงการพูดเพราะเธอเป็นคนอเมริกันที่ต้องแสดงเป็นคนบริติช
- บทหนังถูกเขียนขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1998 และถูกสร้างในเป็นหนังใน 20 ปีต่อมา