The Purge (2013)

คืนอำมหิต

The Purge Poster
7/10

คะแนน
โกดังหนัง

อีกหนังไอเดียสร้างสรรค์จากค่ายทุนต่ำ Blumhouse ที่มีไอเดียเล่นใหญ่ สะท้อนสังคมการเมือง แต่น่าเสียดายที่มันดันไปได้ไม่สุดทาง

หมวดหมู่ : Horror Sci-Fi Thriller
สัญชาติ : American
กำกับโดย : James DeMonaco
ความยาว : 1 ชั่วโมง 25 นาที
นักแสดงนำ : Ethan Hawke, Lena Headey, Max Burkholder

คำคมจากภาพยนตร์

“ํJust remember all the good the purge does.”
"อยากให้จดจำถึงสิ่งดีทั้งหลายที่การ “ชำระบาป” สร้างเอาไว้ให้กับเรา“

เรื่องย่อ

ในยุคที่ประเทศอเมริกานั้นล้มเหลวในทุกด้าน และต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆ ทางสังคมมากมาย ทั้งเศรษฐกิจที่ตกต่ำ คนว่างงาน จนกลายมาเป็นอาชญากรกันไปเสียหมด จนทำให้รัฐบาล กลุ่มผู้ก่อตั้งอเมริกายุคใหม่ จึงออกแนวคิดสุดบ้าคลั่งนั่นก็คือ Purge Day หรือ คืนล้างบาป ที่จะอนุญาติให้ในแต่ละปี มีช่วงเวลา 12 ชั่วโมง ที่สามารถทำอะไรก็ได้ทุกรูปแบบ โดยที่ไม่มีกฏหมายมากำหนด ซึ่ง เจมส์ แซนดิน เซลล์แมนขายระบบรักษาความปลอดภัยสำหรับคืนล้างบาป ก็ได้เก็บตัวในบ้านตามปกติในวันล้างบาป จนกระทั่งลูกชายของเขา ยอมให้คนผิวดำจรจัดคนหนึ่งที่หนีจากการตามล่าเข้ามาในบ้าน ก็นำมาสู่ความสยองสุดระทึก เมื่อคนที่ตามมานั้นก็พยายามที่จะเข้ามาเอาตัวชายคนนี้ให้ได้

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ The Purge นั้น เหมาะกับคนที่ชอบหนังระทึกขวัญ สยองขวัญแบบทุนต่ำที่เน้นขายไอเดียจริงๆ เพราะตัวพล็อตมันไปไกลถึงระดับการเมืองระดับประเทศ แต่ก็น่าเสียดายที่หนังไม่ได้ปรับตัวเองตามไปให้ถึงขั้นนั้นในภาคนี้ รวมถึงประเด็นก็ยังไม่ได้ออกมาเข้มข้นมากนัก เลยทำให้คนที่กะว่ามาดูหนังไล่ฆ่า ไล่เชือดกันแบบโหดๆ อาจจะต้องผิดหวังกันอยู่ไม่น้อย แต่หากมองในอีกแง่ก็นับเป็นการปูเรื่องในระดับเล็กๆ อย่างครอบครัว ก่อนที่จะนำไปสู่ภาคต่อๆ ไป ที่ขยายสเกลไปในระดับของเมืองได้มากกว่านี้จริงๆ ถ้าชอบหนังคนบุกบ้านอย่าง The Strangers หรือ Funny Games น่าจะยังพอสนุกกับหนังได้อยู่ครับ

  • สายหนังระทึกขวัญคนบุกบ้าน
  • สายหนังสยองขวัญทุนต่ำ
  • สายหนังฆาตกรโรคจิต

 

รีวิว / สรุปเนื้อหา

ตัวหนังนั้นมีจุดขายที่เด่นชัดนั้นก็คือพล็อตเรื่องที่น่าสนใจมากๆ อยากจะกราบคนคิดเรื่องราวแบบนี้งามๆ ที่คิดอะไรแบบนี้ออกมาได้ เพราะหากพิจารณาแล้ว การ Purge หรือการชำระบาปนั้น ไม่ใช่แค่เพียงเป็นการปล่อยให้ผู้คนระบายความบ้าคลั่งและปลุกสันดานดิบของตัวเองขึ้นมาในช่วงเวลา 12 ชั่วโมงของทุกปีเท่านั้น เพราะหากมองให้ลึกลงไป นี่คือวิธีการแก้ปัญหากวาดล้างคนจน หรือคนที่ไม่มีประสิทธิในประเทศครั้งใหญ่โดยที่รัฐบาลไม่ต้องเป็นผู้ลงมือเอง จากในหนังเราจะเห็นว่าคนที่มีเงินสักหน่อยก็มักหาวิธีในการป้องกันตัวเองได้ ไม่ว่าจะเป็นการติดระบบรักษาความปลอดภัยต่างๆ หรือการตุนอาวุธเอาไว้เมื่อถึงเวลานี้ ในขณะที่คนจนนั้น ต่างไร้การป้องกันตัวโดยสิ้นเชิง

แต่ด้วยความที่มันเป็นหนังทุนต่ำที่ใช้งบไปแค่ $3 ล้านเหรียญเท่านั้น มันเลยลดสเกลของเรื่องราวให้มาโฟกัสที่ครอบครัวเดียวในเรื่องกันแทน ความน่าสนใจของหนังเลยดูดรอปไปมากเมื่อเทียบกับพล็อตเรื่องที่ดูใหญ่โตในระดับประเทศเช่นนี้ ซึงพอหนังไปจับมุมที่เล็กลง ประเด็นที่ได้ออกมาจึงเหลือเป็นในเรื่องของประเด็นศีลธรรมในแบบที่ดูซ้ำๆ แทน ว่าเมื่อมีคนเข้ามาขอความช่วยเหลือ โดยที่หากเราตัดสินใจช่วยไปนั้น จะต้องเสี่ยงทั้งชีวืตทั้งตัวเองและครอบครัวด้วย เราจะยังเลือกทำเช่นนั้นอยู่หรือไม่ ซึ่งผลที่ออกมาก็ทำให้เห็นว่า คนดูส่วนมากดันมองว่าเป็นความโง่ของตัวลูกชายแทนซะงั้น

THE PURGE horror sci-fi thriller dark anarchy (12) wallpaper | 2159x900 |  352611 | WallpaperUP

 ด้วยประเด็นที่ใหญ่แต่ดันเล่นไปไม่สุดนั้น ก็ไม่แปลกใจนักที่แม้ว่าพล็อตจะดึงดูดให้ขายไปได้ถึง $89 ล้านทั้วโลก (แค่ในอเมริกาอย่างเดียวก็ $64 ล้านแล้ว) แต่คำวิจารณ์กลับสวนทางออกมาในแง่ของความเบาบางในบท และเรื่องราวที่หนังเล่าออกมา ประกอบการเดินเรื่องที่แสนช้าในช่วงแรก และความโหดที่ยังดูไม่ถึงใจเท่านัก เมื่อเทียบกับหนังแนวๆ นี้เหมือนกัน เลยทำให้ The Purge กลายเป็นหนังอีกเรื่องที่คอนเซปมาดี มีความน่าสนใจ แต่สุดกลับไม่ได้สร้างอะไรที่แปลกใหม่กว่าเดิมขึ้นมาสักเท่าไรนัก จนน่าเสียดายเป็นอย่างมาก

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • ผู้กำกับ James DeMonaco นั้น ได้รับแรงบันดาลใจของพล็อตการ Purge มาจาก ตอนขับรถกับภรรยาแล้วเจอคนเมาขับรถมาเบียดพวกเขาจนเกือบตาย จนกระทั่งเมื่อรถทั้งคู่หยุด ต่างฝ่ายต่างก็มีปากเสียงจนแทบจะทำร้ายร่างกายกันแล้ว แต่ตำรวจเข้ามาพอดี หลังจบเหตุการณ์นี้ ภรรยาของเขาก็พูดขึ้นมาว่า มันคงจะดีไม่น้อยนะ ถ้าจะมีวันที่เราฆ่าใครก็ได้ที่ไม่มีผลตามมา สักวันในปีนึง
  • หากเกิดการ Purge ขึ้นมาจริงๆ ผู้กำกับ James DeMonaco บอกว่าเขาคงหนีไปแคนนาดาสักพัก แล้วกลับมาหลัง Purge จบ (นั่นก็คือสิ่งที่คนดูคิดมาตลอดว่า ถ้าไม่ตัง ไม่ย้ายประเทศสักพักล่ะ 555+)
  • ด้วยความสนิทกับ Jason Blum เจ้าของค่าย ทำให้ดาราอย่าง Ethan Hawke มารับเล่นหนังเรื่องนี้ด้วยค่าตัวแค่ $3000 เท่านั้น แต่เมื่อหนังประสบความสำเร็จเกินต้นทุนไปมาก เขาเลยได้เงินเพิ่ม ซึ่งมากกว่าหนังเรื่องอื่นๆ ที่เขาเล่นมาโดยตลอดเลยล่ะ