The Dark Knight (2008)
แบทแมน อัศวินรัตติกาล
คะแนน
โกดังหนัง
สุดยอดหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่ไปไกลเกินความคาดหวังมากๆ สร้างตัวละครได้เป็นมนุษย์ และมีประเด็นเข้มข้นตึงเครียดสุดมาก
คำคมจากภาพยนตร์
“Madness, as you know, is a lot like gravity, all it takes is a little push.
“ความบ้าคลั้ง ก็ไม่ต่างอะไรจากแรงโน้มถ่วงหรอก สิ่งที่ต้องทำก็แค่ผลักมันสักนิด”
เรื่องย่อ
หลังจากเหตุการณ์ทุกอย่างเหมือนจะสงบลง จากการร่วมมือกันระหว่าง แบทแมน ผู้หมวดจิม กอร์ดอน และอัยการเขต ฮาร์วีย์ เดนท์ ดูเหมือนจะเป็นไปด้วยดีในการพยายามกวาดอาชญากรในเมืองนี้ทั้งแบบเบื้องหน้าและเบื้องหลัง จนกระทั่งการปรากฏตัวของวายร้ายสุดชั่วอย่าง โจ๊กเกอร์ ที่ทำให้ศีลธรรมในตัวแต่ละคนต้องเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง เพราะนี่คือสุดยอดแห่งวายร้ายคู่ปรับตลอดกาลในจักรวาลของอัศวินรัตติกาลคนนี้
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ The Dark Knight นั้น คงเหมาะกับคอหนังซุปเปอร์ฮีโร่ เพียงแต่ไม่ใช่แนวฮีโร่ทั่วๆ ไปที่สดใสแบบค่าย Marvel สักเท่าไร แต่เป็นความืดหม่นสมชื่ออัศวินรัตติกาล ด้วยความที่หนังดำเนินเรื่องอย่างเคร่งเครียด ประกอบกับการโยนประเด็นศีลธรรมมาให้ทั้งตัวละครและคนดูนั้นต้องเลือกไปพร้อมๆ กัน ก็ยิ่งยกระดับจากหนังฮีโร่ไปสู่หนังอาชญากรรมที่ตั้งคำถามเชิงศีลธรรมได้อย่างดีเยี่ยม ดังนั้นคนที่ชอบหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่ดูแล้วไม่เครียดอาจจะไม่ชอบหนังเรื่องนี้ก็เป็นได้ แต่หากคุณได้ดู Batman Begins ภาคก่อนหน้านี้มาแล้ว คุณจะหลงรัก The Dark Knight เลยจริงๆ
- สายหนังซุปเปอร์ฮีโร่โทนดาร์ค
- สายหนังเสด็จพ่อโนแลน
- สายหนังฮีโร่อาชญากรรม
รีวิว / สรุปเนื้อหา
เรียกได้ว่าน่าจะเป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ในดวงใจของใครหลายคน จากผลงานกำกับของเสด็จพ่อ Christopher Nolan ที่นำพาคนดูทะยานไปไกลได้กว่าสิ่งที่เห็นเสมอ ซึ่งกับหนังชุด Batman นี้ก็ไม่ต่างกัน เพราะหลังจากที่เขาได้พาเราไปสำรวจโลกของ Batman คนใหม่กันไปแล้ว มาภาคนี้ก็เป็นการยกระดับหนังขึ้นไปได้ไกลกว่าภาคแรกเป็นอย่างมาก ด้วยคู่ปรับที่สมน้ำสมเนื้ออย่าง โจ๊กเกอร์ ประกอบกับวายร้ายรายอื่นๆ ที่หนังมีพื้นที่ให้อย่างเต็มที่ เลยทำให้มันกลายเป็น Batman ภาคที่ครบเครื่องเข้มข้นมากเลยทีเดียว
แม้ว่าหนังฮีโร่ส่วนมากมักต้องมีฉากฮีโร่ประมือกับเหล่าร้าย แต่กับ The Dark Knight เรียกได้ว่าแทบจะเป็นส่วนน้อย เพราะหนังไปให้เวลากับการเล่าเรื่อง บทสนทนาคมๆ และประเด็นในเรื่องราวที่น่าสนใจมากกว่า ทำให้ฉากปะทะของ Batman ในเรื่องนี่แทบจะนับได้เลยทีเดียวว่ามีกี่ฉาก แต่แทบทุกฉากที่ออกมานั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นฉากที่น่าจดจำแทบทั้งสิ้น ในส่วนของประเด็นของหนังก็เต็มไปด้วย Dilemma ต่างๆ ถึงทางเลือกศีลธรรม ก็เรียกได้ว่าถวายพานไปถึงทุกตัวละครแบบสุดๆ แม้กระทั่งตัว Batman เองก็ยังต้องมีจุดตัดสินใจที่ต้องเลือก จนเสียความเป็นฮีโร่ไปได้เหมือนกัน
ส่วนที่น่าชื่นชมที่สุดในเรื่องคงหนีไม่พ้น Heath Ledger ที่รับบท โจ๊กเกอร์ เอาไว้ได้อย่างเป็นตำนาน สร้างความน่าสะพรึง พร้อมทั้งรังสีที่กดดันแผ่มาถึงคนดูได้แทบทุกฉาก (จนบางทีก็สงสัยนะว่าหนังยังอุตส่าห์รอดจาก Rate R มาได้อย่างไร) มันเลยเป็นการปะทะการระหว่างอุดมการณ์กับคนบ้าที่ต้องการทำลายล้างทุกสิ่ง จนกลายเป็นว่าตลอดทั้งเรื่องของหนังแทบจะเป็นจุดไคลแม็กซ์ของเรื่องได้ทั้งหมดเลย นับเป็นอีกตำนานหนังซุปเปอร์ฮีโร่ที่ยากจะหาหนังเรื่องไหนมาทัดเทียมได้จริงๆ
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- ในฉากขี่ Batpod ไล่ล่านั้น ทางตำรวจ Chicago ได้รับสายจำนวนมากจากผู้คนในเมืองที่เห็นการไล่ล่าของตำรวจกับรถแปลกๆ สีดำ
- ในการเตรียมตัวของ Heath Ledger ในบทของ Joker นั้น เขาใช้เวลาเก็บตัวในโรงแรมคนเดียวถึง 6 สัปดาห์ ในการเข้าถึงเบื้องลึกสภาพจิตใจของตัวละครอย่างโจ๊กเกอร์ รวมถึงคิดทั้งการพูด การหัวเราะต่างๆ ออกมา จนเรียกได้ว่าสมบทบาทเป็นอย่างมาก แต่ก็น่าเสียดายที่เรื่องนี้ก็นำไปสู่เหตุการณ์ที่น่าเศร้า
- Christopher Nolan และคนที่เขียนบท ทั้ง Jonathan Nolan และ David S. Goyer นั้น ร่วมกันตัดสินใจก่อนถ่ายแค่ไม่นานมากนัก ที่จะไม่ใส่ที่มาที่ไปของ Joker เลยได้ความเป็น Joker ออกไปแบบชัดๆ เน้นๆ ตามที่เห็นในหนัง