เรื่องย่อ

ทอมมี่ และออสติน ทิลเดิน สองพ่อลูกที่ทำอาชีพชันสูตรศพ ที่วันหนึ่งได้รับศพปริศนามาจากเหตุฆาตกรรมในบ้านหลังหนึ่ง โดยที่ไม่รู้ว่าศพนี่มีที่มาที่ไปอย่างไร เมื่อมาถึงนั้นศพอยู่ในสภาพสมบูรณ์อย่างหลาด ซึ่งสองพ่อลูกได้รับมอบหมายให้หาเบาะแสต่างๆ ที่เกิดกับศพนี้โดยมีเวลาเพียงแค่ 1 คืนเท่านั้น แต่ในระหว่างทำการชันสูตร ก็ได้มีเรื่องราวแปลกประหลาดชวนหลอนเกิดขึ้นไม่หยุดหย่อนในค่ำคืนนี้ และดูเหมือนว่ามันจะเกี่ยวข้องกับศพที่พวกเขากำลังผ่าอยู่เสียด้วย

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ The Autopsy of Jane Doe เหมาะเลยกับคนที่ชอบหนังสายสืบจากศพมากๆ ด้วยความที่มันไม่ได้เป็นหนังสืบสวนแบบธรรมดาๆ แต่ยังเติมในส่วนของเรื่องเหนือธรรมชาติ และความลึกลับเข้าไปด้วย ทำให้มันดูมีความน่าสนใจมากขึ้น เพราะยิ่งสืบลึกลงไปเท่าไร ก็ยิ่งเพิ่มความสยองให้กับเรื่องราวมากขึ้นเท่านั้น ใครที่ชอบหนังสายสืบสยองจากศพเหมือนอย่าง The Posession of Hannah Grace อยู่แล้ว ต้องบอกว่าเรื่องนี้เหนือกว่าเยอะเลยครับ

• สายหนังสืบจากศพ
• สายหนังสยองขวัญพื้นที่ปิด
• สายหนังสยองขวัญทุนต่ำ

รีวิว / สรุปเนื้อหา

หนังนอกสายตาฟอร์มเล็กอีกเรื่องที่ไม่มีโอกาสได้เข้ามาฉายในโรงบ้านเราในช่วงนั้น ซึ่งนับเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากๆ กับความสยองขวัญสุดบันเทิงในแบบที่หนังมอบกลับมาให้ และการได้ดูในโรงที่มีบรรยากาศมืดๆ เงียบๆ แล้ว ก็น่าเสริมความน่ากลัวให้กับหนังได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่าหนังมีความชาญฉลาดที่เล่าเรื่องจากการชันสูตรศพ 1 ศพ ให้เรื่องออกมาบานปลายและมาไกลได้ขนาดนี้ โดยใช้แค่เพียง 2 ตัวละครกับ 1 ศพ ภายในห้องชันสูตรเท่านั้น แต่ความสยองกลับสวนทางกับความมินิมอลในหนังมากๆ จากการสร้างความน่ากลัวด้วยบรรยากาศและเรื่องราวออกมาได้สนุกดี

จริงๆ แล้วก่อนดูหนังเรื่องนี้เราไม่ควรรู้อะไรมากไปกว่าเรื่องย่อของการชันสูตรศพปริศนา เพื่อเนื้อหาจริงๆ มันค่อยๆ ปล่อยออกมาให้ชวนอยากรู้ ชวนสงสัยอยู่มากขึ้นเรื่อยๆ ว่าตกลงแล้วศพนี้คือใคร แล้วโดนทำอะไรมากันแน่ ก็นับว่าเป็นพาร์ทสืบสวนจากร่างกายได้เข้มดีเหลือเกิน อีกทั้งเมื่อยิ่งสืบไปมันก็ยิ่งเจอกับความน่าประหลาดต่างๆ นานา ทั้งเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ หรือเรื่องเหนือธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นกับศพนี้ก็เต็มไปด้วยความสร้างสรรค์เหลือเกิน อีกทั้งยังผู้กำกับยังรู้จังหวะอย่างดี ว่าจะปล่อยข้อมูลเมื่อไร จังหวะปล่อยผีเมื่อไร จังหวะสับขาหลอกเมื่อไร ซึ่งได้ผลทุกทีมากๆ

สำหรับมุขการหลอกหลอนในเรื่องนี้ ก็เรียกได้ว่าจัดเต็มดี มีงานภาพและเสียงที่น่าสนใจมากๆ ในเรื่องเสียงก็มีการใช้ความเงียบสนิท เพื่อให้เราสัมผัสได้ถึงสภาพแวดล้อม ในฉากเหล่านั้นได้ดีขึ้น หนังจึงเติมความสยองได้อยู่หมัด ไม่ว่าจะเป็นในการสร้างบรรยากาศ หรือการ Jump Scare ที่ทำเอาสะดุ้งได้ทุกครั้งที่เผลอดิ่มด่ำไปกับบรรยากาศเหล่านี้ มันก็มาอย่างไม่ทันทั้งตัวอยู่เสมอ ส่วนตัวติดที่ว่าหนังมันจบสั้นๆ ห้วนๆ ไปนิด แต่ที่เหลือก็เรียกว่ากระชับดีแล้ว จนใครที่ชอบหนังสายสืบจากศพ หรือชันสูตรศพที่ผสมผสานกับเรื่องเหนือธรรมชาติในแบบที่ไม่ค่อยเห็นบ่อยนัก ก็อยากขอแนะนำเลยว่า “ต้องดู” จริงๆ