Spider-Man 2 (2004)

ไอ้แมงมุม 2

Spider-Man 2 Poster
9/10

คะแนน
โกดังหนัง

ภาคต่อที่ดีขึ้นแบบยกระดับ ที่เติมเต็มตัวละครที่มีมิติซับซ้อน
ขับเน้นพล็อตเรื่องให้เข้มข้น นำไปสู่งาน Spider-Man ภาคที่ดีที่สุดของใครหลายๆคน

หมวดหมู่ : Action Adventure Sci-Fi
สัญชาติ : American
กำกับโดย : Sam Raimi
ความยาว : 2 ชั่วโมง 7 นาที
นักแสดงนำ : Tobey Maguire, Kirsten Dunst, Alfred Molina

คำคมจากภาพยนตร์

“Love should never be a secret. If you keep something as complicated as love stored up inside… Gonna make you sick.”
“ความรักไม่ควรเป็นเป็นความลับ ถ้าคุณเก็บอะไรที่ซับซ้อนอย่างความรักเอาไว้ข้างใน มันจะทำให้คุณป่วยใจได้เลย”

เรื่องย่อ

การกลับมาอีกครั้งของ ปีเตอร์ ปาร์กเกอร์ หรือ Spider-Man ที่ยังต้องพบกับเรื่องวุ่นวายในชีวิตอยู่เหมือนเดิม ทั้งเรื่องราวความรักที่ยังดูไม่สมหวังกับ แมรี่ เจน ความบาดหมางที่ก่อตัวขึ้นระหว่างตัว Spider-Man กับเพื่อนของเขาอย่าง แฮรี่ ออสบอร์น อีกทั้งยังต้องเผชิญหน้ากับวายร้ายคนรายใหม่อย่าง ดร. ออตโต้ ออกเทเวียส อีก ทำให้เขาต้องจัดการทั้งปัญหาชีวิตส่วนตัว ในขณะเดียวกันก็ต้องปกป้องเมืองของเขาไปด้วย

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ Spider-Man 2 คือหนังฮีโร่ภาคต่อคุณภาพดีอีกเรื่อง ที่สานต่อความสำเร็จมากจากภาคแรกได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังใช้ภาคแรกเป็นการปูเรื่องที่เป็นประโยชน์ จนทำให้ภาคนี้สามารถพาไปสำรวจสภาพจิตใจของตัวละครได้ลึกและซับซ้อนยิ่งขึ้น จนมีมิติตัวละครที่น่าสนใจ ให้เราเห็นใจได้แม้กระทั่งตัวร้ายในเรื่อง ตลอดจนฉากแอคชั่นสุดมันส์ที่เรียกว่าจัดเต็ม แถมยังมี CG เนียนตาสุดๆ จนต้องยกให้มันเป็น Spider-Man ภาคที่ดีที่สุดได้เลยจริงๆ แต่หากใครที่ไม่ชอบโทนในภาคก่อนมา ก็อาจจะเฉยๆ กับภาคนี้ก็เป็นได้ ใครที่ชอบหนังสาย Marvel ยุคก่อนที่จะเป็น Cinematic Universe อย่างชุด X-Men, Fantastic 4 และ Spider-Man อยู่แล้ว รับรองฟิน

  • สายหนังแอคชั่นซุปเปอร์ฮีโร่
  • สายหนังแอคชั่นพลังพิเศษ
  • สายหนังซุปเปอร์ฮีโร่ค่าย Marvel

รีวิว / สรุปเนื้อหา

จากความสำเร็จของภาคก่อน สำหรับ Spider-Man ฉบับของ Sam Raimi ที่เราไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะทำหนัง Superhero ออกมาได้ดีขนาดนี้ เพราะที่ผ่านมาเห็นความโดดเด่นในด้านหนังสยองมาโดยตลอด แต่ด้วยคำวิจารณ์และรายได้ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ชั้นดีว่า หนังของเขาโดนใจมหาชนมากๆ เลยได้ไปต่อด้วยสเกลที่ใหญ่ขึ้นไปอีก ซึ่งในภาคนี้หนังก็ไม่ต้องมาเสียเวลาปูเรื่องนาน เพราะตัวละครก็มีการปูพื้นกันมาหมดแล้ว ทั้งจุดกำเนิด การโดนแมงมุมกัด คุณลุงเบนตาย การทำงานกับหัวหน้าสุดโหด ความรักกับแมรี่ เจน การแตกหักกับเพื่อนสนิท ในภาคนี้โผล่มาก็เลยเริ่มต้นเรื่องราวแบบไปต่อได้เลย โดยที่ไม่ต้องมาย้อนอะไรให้มากความ

จุดเด่นของภาคนี้คือพล็อตเรื่องที่เข้มข้นมาก คือไม่มันไม่ได้มีแต่การโชว์ฉากแอคชั่นของ Spider-Man เท่านั้น แต่ยังเล่นถึงปมชีวิตของ Peter Parker ที่ได้ชื่อว่าเป็นฮีโร่สุดอาภัพในจักรวาล Marvel ได้เป็นอย่างดี เพราะไม่ว่าชีวิตเขาจะหันไปทางไหนก็เจอแต่ปัญหาอยู่ทั้งสิ้น แม้กระทั่งในแง่ของตัวร้ายเอง ก็ไม่ใช่เป็นแบบตัวร้ายจ๋าๆ ในแบบที่เราเห็นกันในเรื่องอื่นๆ เพราะจุดเริ่มต้นเขาก็มีความเป็นคนดี มีจิตใจที่ดี ก่อนที่จะค่อยๆ แปรเปลี่ยนไปจนทำให้เราก็เกลียดตัวละครนี้ไม่ลงอยู่เหมือนกัน แถมในทางกลับกันมันยังทำให้คนดูเห็นใจตัวร้ายเสียด้วย จนทำให้พาร์ทตัวละครก็เรียกได้ว่าจากที่พื้นแน่นอยู่แล้ว ก็เพิ่มความซับซ้อนและมิติของตัวละครเข้าไปอีก

ในแง่ของฉากแอคชั่นก็มันส์มาก ฉากจัดเต็ม เล่นใหญ่กว่าภาคแรกเยอะ ถึงขนาดเมืองถล่มทลาย และมีรายละเอียดที่ดีมากๆ (จนได้ Oscar สาขา Visual Effect มาครองกันเลย) เลยทำให้การดวลกันในหลายๆ ฉากชวนลุ้น ตื่นเต้น กับการที่ต้องสู้ไปด้วย ช่วยคนไปด้วย ก็นับว่าเดือดมากๆ จนทำให้ในภาคนี้นั้น มีทุกอย่างที่ครบรสมาก อีกทั้งยังผสมผสานกันได้กลมกล่อม เข้มข้น จนนับเป็นหนังซุปเปอร์ฮีโร่ในอันดับต้นๆ ในใจของใครหลายๆ คนมาก และเป็นโทนที่หาไม่ได้ในหนังชุด Marvel Cinematic ด้วย

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • ฉากต่อสู่กันบนรถไฟระหว่าง Doc Ock และ Spider-Man เป็นไอเดียตรงๆ จากผู้กำกับ Sam Raimi และเป็นส่วนสำคัญที่สุดของหนังจนเอามาเป็นส่วนแรก
  • ในตอนแรก Willem Dafoe ที่เป็น Green Goblin แล้วตายไปในภาคที่แล้ว จะไม่ได้มีบทในภาคนี้ แต่วันหนึ่งที่เขากำลังเดินกลับอพาร์ทเมนท์แล้วเห็นทีมงานถ่ายทำกันอยู่ เลยเข้าทักทาย จนอยู่ๆ ก็ได้กลับมาแสดงในหนังเรื่องนี้อีกครั้ง
  • เอเจนต์ของ Tobey Maguire นั้นเรียกค่าตัวเขาสูงมากในหนังภาคนี้ ถึง $25 ล้าน หรือ 10% ของรายได้ที่หนังทำได้ ขึ้นอยู่กับว่าอะไรมากกว่ากัน ซึ่งแน่นอนว่าค่าย Columbia Pictures ก็ปฏิเสธไป