Shazam! Fury of the Gods (2023)

ชาแซม! จุดเดือดเทพเจ้า

Shazam! Fury of the Gods Poster
9/10

คะแนน
โกดังหนัง

ยกระดับความปังจากภาคแรก มันให้ความรู้สึกที่สนุกแบบสุดเหวี่ยง อารมณ์ขันเหลือล้น ตัวละครเติบโตขึ้นมีเสน่ห์ เล่าเรื่องได้น่าติดตาม หนังยังคงรักษาแก่นแท้หนัง Feel Good ในรูปแบบครอบครัวได้เด่นชัด สายฮีโร่ไม่ควรพลาด

หมวดหมู่ : Comedy Hero
สัญชาติ : American
กำกับโดย : David F. Sandberg
ความยาว : 2 ชั่วโมง 10 นาที
นักแสดงนำ : Zachary Levi, Grace Caroline Currey, Rachel Zegler

คำคมจากภาพยนตร์

"I'm an idiot. I don't deserve these powers"
"ผมมันงี่เง่า ผมไม่สมควรได้รับพลังพวกนี้

เรื่องย่อ

การต่อสู้ครั้งใหม่ของ Billy Batson และกลุ่มเพื่อนๆฮีโร่เด็กในร่างผู้ใหญ่ ที่รอบนี้พวกเขาต้องรับมือกับลูกสาวเทพเจ้าแอตลาสทั้ง 3 คนที่มีเป้าหมายที่จะนำเวทมนตร์ที่ถูกขโมยไปกลับมาอยู่ในการครอบครองของพวกเธออีกครั้ง กลายเป็นการต่อสู้ครั้งสำคัญที่พวกเขาแก๊ง Shazam ที่ต้องปกป้องโลกจากภัยร้าย

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ Shazam เป็นหนังฮีโร่จาก DC ที่แฟนๆในกลุ่มน้องๆหนูๆไม่ควรพลาด หนังฮีโร่แนวครอบครัวที่เด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูก็ดี ภาพของหนังมีกลิ่นอายความเป็นหนังครอบครัวที่เน้นมิตรภาพที่ค่อนข้างสูง บทหนังรวดเร็วกระชับเข้าใจง่าย หนังค่อนข้างทำออกมาตอบโจทย์น้องๆหนูๆ มีมุกตลก มีฉากแอ็คชั่นต่อสู้กับคนร้าย เหลือร้ายไม่ได้เว่อวังอลังการ อารมณ์ Feel Good ไม่มีผิดไม่มีภัย หนังพยายามบอกกับผู้ชมว่าไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่เราทุกคนเป็นฮีโร่ได้เสมอ

  • สายหนังฮีโร่
  • สายหนังคอเมดี้
  • สายหนัง DC

รีวิว / สรุปเนื้อหา

แม้ว่าคำวิจารณ์จะไม่ได้พีคไม่ได้เหมือนในภาคแรก แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหนังภาคต่อกลับกลายเป็นสิ่งที่สนุกมันพีคมากกว่าเดิม อย่างในภาคแรกจะพูดถึงเด็กที่ได้รับพลังกลายเป็นฮีโร่ร่างผู้ใหญ่ที่ยังลังเลปรับตัวไม่ถูกว่าจะเดินไปยังไง แต่รอบนี้สิ่งที่หนังพัฒนาคือบทที่ตัวละครดูจะเติบโตขึ้นอย่างชัดเจนไม่ได้ดูน่ารักแบบภาคที่แล้ว เหล่าแก๊งค์ Shazam มีความรู้สึกนึกคิดอยากเด่นอยากเท่ห์และมักใช้เวลากับตัวเองมากขึ้น จนพวกเขาแทบจะไม่ได้เป็นกลุ่มเป็นก้อนเหมือนเดิม แน่นอนว่าคนเราทุกคนไม่มีใครอยากยึดติดในแวดล้อมเดิมๆพื้นที่เดิมๆอีกต่อ มันกลายเป็นหนังที่ดูจะว้าวุ่นทันที เพราะสถานการณ์นำพาให้พวกเขาได้รับรู้ว่าโลกแห่งการเป็นฮีโร่ เด็กน้อยกลุ่มนี้ยังคงอ่อนหัด พวกเขารับมือกับโลกที่อันตรายไม่ได้ การถูกท้าทายโดยตัวละครเทพกรีก 3 ตัวที่ร้ายกาจ เพิ่มความหนักแน่นให้เรื่องราวได้เยอะ หรือการใส่มุกตลกจังหวะนรกเข้ามาก็ทำได้ไม่ตื่นเขินจนเกินไป แม้ว่าช่วงแรกจะปูเรื่องได้ไม่โดนใจ

โปรดักชั่นหนังทำออกมาได้สนุกสนานโดยไม่ได้ละเลยคำว่า Coming Of age ฮีโร่วัยว้าวุ่น เทคนิคการเล่าเรื่องงานภาพ CGI วายร้ายน่าตื่นตาตื่นใจ ลูกเล่นที่หนังใส่มาดูยังไงก็ไม่ Fake ไม่หลอกตาผู้ชม งานสร้างน่าตื่นตาตื่นใจเอาใจน้องๆหนูได้สบายเพราะภาพรวมของหนัง Connect กับเด็กๆได้สบาย ฉากแอ็คชั่นมันส์แบบ Non-Stop ไม่ได้หยุดพักแถมภาพบนจอยักษ์มันอลังการมากๆ หนังเลยอยู่ในหมวดแบบ Feel Good ที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษเน้นขายความเป็นฮีโร่บู๊กันแหลกไปข้างหนึ่ง นี่ยังไม่รวมถึงการแซวหนังเรื่องโน่นเรื่องนี้เยอะแยะเต็มไปหมด แต่ถ้าหากใครไม่เคยดูภาคแรกมาก่อน ก็คงต้องย้อนกลับไปดูไม่งั้นจะไม่เข้าใจเรื่องราวที่มาที่ไปของแก๊ง Billy Batson น่าเสียดายอยู่อย่างหนึ่งคือหนังปูทางมาตั้งแต่ก่อนยุค James Gunn ถ้าหากมันไม่ได้สานต่อและน่าเสียดายแย่เพราะวัฒถุดิบของหนังเรื่องนี้ไม่มีพิษมีภัย ตัวละครเกรียนๆมีเสน่ห์ สานต่อเรื่องราวได้สบายเพราะฐานแฟนมีเยอะพอสมควร

ด้านการแสดงของดารานำคนที่ขโมยซีนกับเป็นนักแสดงหญิง Grace Caroline Currey ใบหน้าที่สวยพัฒนาทักษะการแสดงพัฒนาขึ้นจากภาคแรก, Rachel Zegler ที่ปรากฏตัวเป็นเทพกรีก ลำพังแค่เสน่ห์ของเธอก็น่ารักอยู่แล้ว พอได้ดูฝีมือเธอแล้วยอมรับเลยว่าอนาคตไกลแน่ๆ กลายเป็นหัวใจหลักของเรื่องราวไปเลย ส่วนตัวแล้วค่อนข้างชอบวายร้ายในเรื่องเช่น Helen Mirren และ Lucy Liu คือนางตัวแม่ประสบการณ์โชกชวน ออกมากี่ฉากก็ดูน่ากลัวน่าเกรงขามได้ปะทะความเกรียนกับ Zachary Levi ให้ความรู้สึกฮาบ้าบิ่นซะเหลือเกิน แต่ส่วนตัวก็แอบรู้เสียดายตรงที่ว่าพาร์ทแก๊งค์เด็ก Shazam ที่เรื่องนี้มาน้อยเกินไป เพราะบทหนังพยายามที่จะเน้นขายฉากแอ็คชั่นเยอะเกินไป เลยได้ไม่เห็นมิติตัวละครเด็กเท่าที่ควร

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • Grace Caroline Currey รับบท Mary Bromfield ซูเปอร์ฮีโร่ในร่างผู้ใหญ่ของเธอเช่นกันแทนที่ Michelle Borth จากภาคแรก