Searching (2018)
เสิร์ชหา...สูญหาย!?
คะแนน
โกดังหนัง
เหนือชั้นด้วยการเล่าเรื่องที่แปลกใหม่ ผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคทั้งเรื่อง
กับคดีลูกสาวหาย อันแสนซับซ้อนซ่อนเงื่อนที่ชวนคนดูมาเดาได้อย่างสนุก
คำคมจากภาพยนตร์
“I know my daughter. She did not run away.” “ผมรู้จักลูกสาวผมดี เธอไม่ได้หนีไปไหนแน่ๆ”
เรื่องย่อ
เดวิด คิม คุณพ่อที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์สุดตึงเครียด เมื่อ มาร์ก็อต คิม ลูกสาวที่รักวัย 16 ของเขากลับหายไปจากบ้านอย่างลึกลับ เบาะแสเดียวที่ทำให้เขาเริ่มตามหาลูกสาวได้ควบคู่ไปกับการทำงานที่ล่าช้าของตำรวจก็คือ ช่องทางออนไลน์ต่างๆ ของลูกสาวเขา ก่อนที่จะพบเงื่อนงำบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกว่าลูกสาวที่เขารู้สึกว่ารู้จักเธอมาตลอดนั้น อาจไม่ได้เป็นคนอย่างที่เขาคิดอีกต่อไป
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Searching นั้น น่าจะถูกใจคอหนังสืบสวนสอบสวนอย่างแน่นอน เพราะแก่นหลักของหนังก็ยังเป็นในเรื่องบทที่พัฒนามาอย่างดี มีลูกล่อลูกชน พลิกผันไปมาให้คนดูชวนลุ้น อีกทั้งการเฉลยปมอะไรต่างๆ ก็ทำออกมาได้อย่างลงตัวอีกด้วยไม่ต่างอะไรจากการอ่านนิยายสืบสวนชั้นดีสักเล่มเลย แล้วยิ่งเอามาผสานกับวิธีการเล่าเรื่องที่หาจังหวะลงในแต่ละฉากได้เป็นอย่างดี รู้ว่าฉากไหน ต้องผ่านอุปกรณ์ไหน ก็เลยยิ่งทำให้หนังออกมาลงตัวในทุกทาง ซึ่งถ้าใครชอบหนังสไตล์ Screen แบบนี้ แบบ Unfriend หรือ Host ที่เป็นสไตล์หนังสยองแล้ว Searching ก็จะฉีกมาเป็นแนวสืบสวนที่ทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว
- สายหนัง Screen Movies
- สายหนังสืบสวนลึกลับ
- สายหนังลูกหายต้องหา
รีวิว / สรุปเนื้อหา
หนังมีจุดขายด้วยวิธีการเล่าเรื่องที่เจ๋งมาก ด้วยการนำเสนอเรื่องราวต่างๆ ผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็คทรอนิคต่างๆ จนสร้างความน่าสนใจให้กับหนังตอนที่ออกฉายได้อยู่ไม่น้อย ซึ่งเอาจริงๆ กระบวนการเหล่านี้ก็ไม่ได้สดใหม่แต่อย่างใด เพราะเคยมีหนังอย่าง Unfriend ที่เป็นหนังแนวสยองขวัญอีกเรื่องที่ใช้การเล่าเรื่องในวิธีนี้มาแล้วในปี 2014 แต่ก็ไมไ่ด้ประสบความสำเร็จมากนัก แต่สำหรับเรื่องนี้ไม่เพียงแต่สรรหาวิธีดีๆ มาเล่าเท่านั้น แต่หนังยังใส่ใจในบทและรายละเอียดของหนังออกมาเป็นอย่างดี หนังมันเลยออกมาดูดีมีคุณภาพมาก
พอเอาการเล่าเรื่องที่สร้างสรรค์มาประกอบกับเรื่องราวที่ชวนสนุกน่าติดตามแล้ว สิ่งที่พาหนังขับเคลื่อนไปได้ในทุกๆ วินาทีของหนังก็คือ ความอยากรู้อยากเห็นของคนดู ไปพร้อมๆ กับตัวละครเอก ว่าแท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นกับ มาร์ก็อต คิม กันแน่ เพราะทุกครั้งที่เรื่องราวขยับไป เราก็จะได้เห็นเบาะแสใหม่ๆ ที่เหมือนจะคาดเดาได้ แต่พอขยับไปอีกสักครั้งมันก็กลับกลายเป็นการพล้ิกล็อคหักมุมไปต่างจากสิ่งที่ได้คาดเดาเอาไว้ ก็ยิ่งกระตุ้นต่อมอยากรู้ได้มากขึ้นไปอีก ซึ่งการวางหมากหลอกล่อคนดูรายทาง ผ่านการหน้าจอต่างๆ ก็ทำออกมาได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
แม้ว่ารูปแบบการเล่าเรื่องจะแปลกไป แต่ก็ต้องบอกว่าทีมดาราก็ยังคงจัดเต็มผ่านทางหน้าจอที่เราไม่คุ้นเคยได้อยู่เหมือนเดิม ทั้ง John Cho เอง ที่รับบทพ่อที่เป็นห่วงลูกได้อย่างเคร่งเครียดได้ตลอดทั้งเรื่องเลยจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบรรดาฉากที่ต้องโคลสอัพเยอะๆ แล้ว เราก็ยิ่งเห็นความเครียดได้อย่างชัดเจน ส่วนสุดท้ายของหนังที่อยากจะชื่นชมก็คือในเรื่องของ ประเด็นปัญหาชีวิตวัยรุ่นที่พ่อ แม่ ไม่ค่อยจะรู้ เพราะเรื่องที่ไม่ดีของตัวเองก็ไม่ค่อยมีลูกคนไหนเอามาบอกพ่อ แม่มากนัก จนบางทีคนที่เราคิดว่ารู้จัก ก็กลับกลายเป็นมีอีกมุมที่เราไม่เคยเห็นมาก่อนได้เช่นกัน นับเป็นอีกหนังสืบสวนที่มีการเล่าเรื่องล้ำๆ อีกทั้งยังมีประเด็นครอบครัวที่เข้มข้นดีอีกด้วย
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- ด้วยวิธีการถ่ายผ่านหน้าจอเท่านั้น จึงใช้เวลาการถ่ายทำแค่เพียง 13 วัน ที่อาจจะดูเหมือนน้อย แต่อย่างไรก็ตาม หนังใช้เวลาถึง 2 ปี ในการพยายามสร้าง Mock up แบบนี้ขึ้นมาก่อน แล้วลองตัดต่อดูว่า ฉากไหนควรออกมายังไง และแบบไหนที่จะ Work
- สำหรับการเอาไปฉายในเวอร์ชั่นภาษาอื่น ในบางภาษานั้น พวกตัวอักษรที่ต่างๆ ที่ปรากฏขึ้นมาในโปรแกรมแชท หรือการพิมพ์ต่างๆ จะใช้ภาษาตามประเทศนั้นๆ ขึ้นมาใหม่ ในการพิมพ์ทุกตัวอักษรหมดเลย นับว่าเป็นความพยายามอย่างมาก