Renfield (2023)
เรนฟิลด์
คะแนน
โกดังหนัง
นี่แหละหนังที่มอบความบันเทิงในช่วงสงกรานต์ สนุกชิบหายฮากร๊ากลั่นโรงมุกตลกก็ดีฉากแอ็คชั่นเพียบ
คำคมจากภาพยนตร์
"You never gonna be free until you face him."
"คุณจะไม่มีวันเป็นอิสระจนกว่าจะเผชิญหน้ากับเขา"
เรื่องย่อ
เรื่องราวของ Renfield ที่กลายเป็นข้ารับใช้ของท่านเคาท์แดร็กคูล่า ซึ่งมีหน้าที่หาเหยื่อเพื่อกับเจ้านายเพื่อเติมพลังชีวิต พอทำไปเรื่อยๆเขารู้สึกว่าชีวิตเริ่มหดหู่สิ้นหวัง หลังจากนั้นเขาได้ไปเข้าร่วมกลุ่มบำบัด และวางแผนจะหาเหยื่อพวกคนเลวคนชั่วเป็นอาหารแทน พอใช้ชีวิตไปเรื่อยๆเขาอยากจะเป็นอิสระเลยเริ่มวางแผนหาทางกำจัดท่านเคาท์ก่อนที่จะกลายเป็นทาสตลอดกาล
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Renfield เป็นหนังแอ็คชั่นตลกที่มาพร้อมกับฉากสนุกมุกฮาเพียบ กลายเป็นงานที่ผสมผสานได้อย่างกลมกล่อม แฟนๆที่ชอบดูหนังแบบไม่ซับซ้อนไม่คิดอะไรมาก ให้ผู้ชมดูแบบถอดสมองไปซะ น่าจะเหมาะมากๆวิธีการนำเสนอโคตรเพลินจากตัวอย่างที่ปล่อยออกมาแทบไม่น่าดู พอไปสัมผัสแล้วบทหนังภายใต้กรอบเวลาที่จำกัดสามารถสร้างสรรค์พล็อตเรื่องได้ดีมากๆ การปรับท่านเคาท์แดร็กคูล่าให้ดูตลกฮาผ่านการแสดงของ Nicolas Cage เป็นสีสันอย่างหนึ่งที่แฟนๆไม่ควรมองข้าม
รีวิว / สรุปเนื้อหา
หนังมีความร่วมสมัยค่อนข้างมาก การหยิบตำนานแดร็กคูล่ามาตีความใหม่ในโลกยุคปัจจุบัน ผ่านตัวละครผู้ซื่อสัตย์อยากจะหลุดพ้นจากการเป็นทาส ชายหนุ่มไร้จุดหมายที่พล็อตเรื่องโยงใยประเด็นต่างๆได้บันเทิง Renfield มีความรู้สึกผิดที่หาเหยื่อพาคนมาตาย มันทำให้ชีวิตดูจะสิ้นหวัง แน่นอนว่าคงไม่มีใครอยากเป็นแบบนี้ตลอดไป การที่ตัวละครได้ไปพบกับตำรวจหญิงหน้าเอเชียอย่าง Rebecca ที่เป็นคนรักความยุติธรรมดูจะเป็นแสงสว่างเดียวให้เขามีแรงใจจะใช้ชีวิตต่อไป 2 ตัวละครนี้มีบางอย่างคล้ายๆกัน คือโดนกดขี่ข่มเหงไม่ได้มีชีวิตที่เป็นอิสระคนหนึ่งโดนท่านเคาท์สั่งให้หาเหยื่ออีกคนเป็นตำรวจชั้นผู้น้อยในเมืองแถมยังเป็นผู้หญิงเอเชียที่กรอบความคิดโดนจำกัดโดนกดทับ และฉากสำคัญทำให้แก่นแท้ของหนังร้อยเรียงไปด้วยกันได้ หนังเลยกลายเป็นประเด็นอาชญากรรมคอรัปชั่นทุจริต ที่ 2 ตัวละครหลักต่อเจอกับคนมีอำนาจคนหนึ่งคือผีดิบมีพลังพิเศษไม่มีวันตาย อีกกลุ่มคือมาเฟียอาชญากรที่ซื้อตำรวจได้ทุกคน ค่อนข้างชอบที่ 2 ตัวละครหลักรู้ตัวรู้ศักยภาพตัวเองดีแต่ก็ยังแสว่งหาหนทางที่จะสู้แม้จะรู้ว่าแต้มต่อที่ตัวเองมีแทบจะไปต่อกรอะไรไม่ได้พวกเขาเลือกจะสู้เลือกจะทำดีกว่าตายไปแบบสิ้นหวัง
ภาพของหนังมันเลยผสมผสานหลากหลายแนวไม่ว่าจะเป็นหนังแอ็คชั่น, อาชญากรรม, หนังตลก หรือการพูดถึงตัวละครเองที่พยายายสู้เพื่ออิสรภาพของตัวเอง หนังเลือกจะเล่าแต่ละพาร์ทแยกออกจากกันได้แบบชัดเจน บู๊ก็บู๊ไปเลย เอาให้โหดมันส์เข้าขั้นเลือดสาด บทจะเล่นมุกตลกฮาไร้สาระก็ปล่อยออกมาไม่มียั้ง เทคนิคการเล่าเรื่องทำแบบสไตล์หนังฮีโร่ยุคนี้ที่ดำเนินเรื่องรวดเร็ว หรือการเปิดตัวละครที่ร้ายก็ทำภาพให้ดูดาร์ค ซาวด์ประกอบกระหึ่ม มันเลยทำให้ท่านเคาท์แดร็กคูล่า กับแก๊งค์มาเฟียดูน่าเกรงขาม แม้ว่าจะพยายามปั้น 2 ตัวละครให้ดูไร้สาระก็ตาม ทั้งที่ความจริงมันควรจะโหด แต่ก็เข้าใจได้ว่าหนังทำมาเพื่อความบันเทิงจริงๆ
ไฮไลท์หลักของหนังจริงๆคือนักแสดงนำเนี่ยแหละโดยเฉพาะพระเอก Nicholas Hoult ที่บทเขียนมาเพื่อให้ทุกคนเอาใจช่วยเขาให้รอดชีวิตจากการเป็นทาสท่านแดร็กคูล่า มันก็คงไม่ต่างจากคนทุกคนที่อยากใช้ชีวิตเป็นของตัวเองไม่ต้องตกเป็นเครื่องมือเพื่อหาผลประโยชน์ให้ใคร ตลอดทั้งเรื่องทำให้ผู้ชมได้เห็นพฤติกรรมของชายหนุ่มห่วยๆที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวผีดิบ กลัวตายอยู่ตลอดเวลา หรือการใช้ชีวิตที่เขาก็ต้องรับรู้ผิดชอบชั่วดี นอกจากนี้หนังก็ยังเปิดพื้นที่ให้พ่อหนุ่มสุดหล่อได้บู๊อีกได้ใจสาวๆไปเต็มๆ ส่วน Awkwafina ตำรวจหญิงค่อนข้างชอบที่บทหนังพยายามวางตัวละครเอเชีย เพราะสถานะทางสังคมกับการเป็นตำรวจยิ่งเป็นผู้หญิงไม่ได้รับการยอมรับสักเท่าไหร่ พอไปเข้าฉากร่วมกับ Nicholas Hoult กลายเป็นว่า 2 ตัวละครนี้ดู Loser ในมุมมองที่แตกต่างกันไปทันที อีกคนไม่พูดคงไม่ได้ก็คือพระเอกหนังขวัญใจผู้ชมยุค 90 Nicolas Cage ที่มาสร้างความน่ากลัวให้ผู้ชมในมุมที่ตลก แม้ว่าจะเป็นวายร้ายแต่มากี่ทีแล้วรู้สึกฮาทุกครั้ง
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- หนังใช้เวลาถ่ายทำจบแค่ 2 เดือน
- Chris McKay ผู้กำกับใช้เวลาแค่ 4 เดือน ชุบชีวิตหนังที่ค้างสต็อก ไม่มีใครอยากกำกับมาข่วง 9 ปี
- แรงบันดาลใจการทำหนังเรื่องนี้มาจาก What We Do in the Shadows ของ Taika Waititi
- Nicolas Cage ใช้เวลาแต่งตัวแต่งหน้า 8 ชั่วโมง เพื่อเป็นท่านเคาท์แดร๊คคูล่า
- Nicholas Hoult ยอมกินแมลงจริงๆตอนถ่ายทำหนัง
- Nicolas Cage และ Nicholas Hoult กลับมาเจอกันอีกครั้งในรอบ 18 ปี จากหนัง The Weather Man