One For The Road (2022)

วันสุดท้ายก่อนบายเธอ

One For The Road Poster
8/10

คะแนน
โกดังหนัง

หนังที่ทำให้เรารู้จักคำว่าคุณค่าของชีวิต บทหนังเขียนออกมาได้ซึ้งกินใจ สำรวจจิตใจตัวละคร ไอซ์-ต่อตีความคำว่ามิตรแท้ได้งดงาม ภาพซาวด์ประกอบทำให้เนื้อหาครบเครื่อง

หมวดหมู่ : Drama
สัญชาติ : Thai
กำกับโดย : Nattawut Poonpiriya
ความยาว : 2 ชั่วโมง 10 นาที
นักแสดงนำ : Thanapob Leeratanakajorn, Nattarat Nopparattayaporn, Violette Wautier

คำคมจากภาพยนตร์

"มึงกลับไปหาแฟนเก่า มึงเหมือนกลับไปเปิดแผลเค้าอีก เหมือนกลับไปทำร้ายเค้าอีก"

เรื่องย่อ

บอส หนุ่มนักธุรกิจที่เปิดกิจการบาร์ลับในมหานครนิวยอร์ก เขาได้ตัดสินใจย้อนเส้นทางกลับไปยังเมืองไทยอีกครั้ง เพื่อพบกับ อู๊ด เพื่อนที่สนิทตั้งแต่สมัยทำงานเก็บเงินเป็นวัยรุ่นเสิร์ฟอาหารในอเมริกา พวกเขาห่างเหินกันไปนาน แต่แล้วเมื่อเพื่อนสนิทของให้พาไปหาแฟนเก่าเพื่อย้อนและระลึกถึงความทรงจำที่ผ่านมา เนื่องจากอู๊ดกำลังป่วยด้วยโรคมะเร็งระยะลุกลามและเหลือเวลาอีกเพียงไม่มากแล้วเขาเลยจำใจสานฝันเพื่อนรักเป็นครั้งสุดท้าย

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ One For The Road เป็นหนังไทย Road Movie ที่มีกลิ่นอายหนังยุโรปยุค 70 หน้าหนังเหมือนดูยากแต่จริงๆแล้วดูง่ายไม่มีความซับซ้อน หนังไม่มีลายเซนต์แบบ GDH ที่เน้น Feel Good รอมคอม หนังอิงความเป็นจริงชีวิตคนที่อยากกลับไปรำลึกความหลังกับแฟนเก่า แต่บางครั้งบางเรื่องคนเราไม่ได้อินแบบนั้น หนังจึงมาในสไตล์เจ็บปวดสำรวจพฤติกรรมความรู้สึกของตัวละครที่เต็มไปด้วยบาดแผลทางความรักที่ยากจะแก้ไข หนังเรื่องนี้ดูได้กับกลุ่มคนทุกกลุ่ม แต่ไม่ใช่ทุกคนจะอินและเข้าใจเนื้อหาหนังเรื่องนี้ เพราะหนังเองมีบางจุดที่ไม่เหมาะกับคนไทยที่อยากดูความรักใสๆ เพราะเรื่องนี้เป็นหนังภาษาสากลที่มีความดราม่าในตัวเองสูงมาก

  • สายหนังดราม่า
  • สายหนังรางวัล
  • สายหนัง Road Movie

 

รีวิว / สรุปเนื้อหา

หนังโร้ดมูฟวี่รสชาติใหม่ของพี่บาส นัฐวุฒิ ที่หยิบชีวิตส่วนตัวมาเล่าเรื่องได้คมกริบ ภาพของหนังดูจะไม่แมสไม่เหมาะกับคนไทยแต่แล้วหนังกลับดูง่ายแบบไม่น่าเชื่อ ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตคนเรามักนึกถึงอดีตด้วยกันทั้งนั้นอยากรำลึกความหลังอยากย้อนความหลังและอยากไปแก้ไขอดีตให้มันดีกว่าเดิม อู๊ดที่ป่วยเป็นมะเร็งจึงอยากให้บอสเพื่อนที่สนิทที่สุดในชีวิตที่เขาผูกพันธ์กันยามยากลำบากในต่างแดน พาไปร่ำลาคนรักเก่าของตัวเองซะเพื่อจะได้เคลียร์ใจเคลียร์สิ่งที่ค้างคามานาน การเดินทางของหนังเลยเต็มไปด้วยบาดแผลของตัวละครหลัก 2 คน บาดแผลของแฟนเก่า ชีวิตคนเรามักหมกหมุ่นกับความรักเรื่องคู่ครอง บอสและอู๊ดมีทัศนคติที่แตกต่างกันสุดขั้ว การเดินทางในครั้งนี้ 2 ตัวละครมีมุมองที่ต่างออกไป คนหนึ่งอยากกลับไปหาชีวิตที่ล้มเหลวในอดีตเรื่องความรัก ส่วนอีกคนเดินทางไปด้วยกัน แต่ต้องการหนีปัญหาหนีอดีตของตัวเอง

คนเรามักให้คุณค่าของชีวิตช่วงท้ายแต่ตอนมีลมหายใจมีชีวิตที่ดีๆกลับปล่อยปะละเลยมัน หนังไม่ได้มีสูตรสำเร็จแบบรอมคอมตรงกันข้ามหนังองค์ประกอบทุกอย่างถูกจัดวางมาอย่างเนี๊ยบที่สุด บทหนังมีความคมคาย บทพูดตัวละคร โลเคชั่น เฟรมภาพ เราได้เห็น Road Trip 3 จังหวัดในไทยที่มีมุมมองของตัวละครที่แปลกแตกต่างกันไป หนังไม่มีเทคนิคอะไรที่ยาก แต่ตัวอย่างหนังที่ปล่อยออกมาก็สับขาหลอกคนดู เพราะรายละเอียดปลีกย่อยในหนังมีเยอะมาก อู๊ด ได้บอกลาแฟนเก่าด้วยมุมมองทัศนคติที่แตกต่างออกไปจากคนรักเก่า 3 แบบ 3 สไตล์ แถมการมีบอสเข้ามาร่วมเดินทางมันเลยเปิดบาดแผลความเจ็บช้ำให้เราเห็นว่า ตนเองก็มีปมในใจที่ซุกซ่อนอดีตเอาไว้ที่ยากจะลืมมันลงไปได้ ชายหนุ่มที่เปิดบาร์เพียงแค่หนีครอบครัวตัวเอง หนีคนรักเก่า โดยที่เขาแค่ขอมีเงินใช้ไม่คิดอะไร สนุกไปวันๆในนิวยอร์กกับผู้หญิงที่สลับสับเปลี่ยนหน้าตาไม่เว้นแต่ละวัน หนังจำลองมุมมองของคนในยุคปัจจุบันที่พอใจแค่นี้มีเงินก็พอ แต่อีกมุมหนึ่งหนังก็ฉายภาพคนไทยที่อาศัยอยู่ในต่างแดนที่ทำงานได้แค่ร้านไทย เป็นชนชั้นรอง โดนกลั่นแกล้งจากคนท้องถิ่น แถมยังนำภาพความอิจฉาความริษยา คนที่อยากได้อยากมีมาให้เราเห็นว่า คนเราเองก็ไม่ค่อยจะรู้สึกพอใจในสิ่งที่ตัวเองมี และถ่ายทอดออกมาได้ค่อนข้างแข็งแรง สามารถประคับประคองหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้สบายๆมีเหตุผลรองรับทีสบายๆไม่ขัดแย้งอะไร

หนังโฟกัสไปยังตัวละครทุกคนผ่านการเดินทางของ บอสและอู๊ด หนังค่อยๆทำให้เราเข้าใจความหมายของชีวิตการร่ำลา การบอกกล่าว แต่ในขณะเดียวกันไม่ใช่ทุกคนที่พร้อมจะเปิดใจเพื่อเจอเรา คนเราทุกคนมีบาดแผลไม่ต่างกัน บางคนหลีกหนีเพราะคิดว่าเจ็บแล้วจบแล้วพอแล้ว หนังค่อยย้ำเตือนคนเราว่าเราควรใช้ชีวิตให้เต็มที่ในตอนที่เรายังมีชีวิตอยู่ พยายามแก้ปัญหาให้ได้เมื่อมีโอกาส รักคนที่เหมาะสมกับเรา ขอโทษในโอกาสที่สมควร ไม่ใช่มาดิ้นรนในตอนสุดท้ายของชีวิตเพราะบางครั้งมันอาจสายเกินไป การได้ไอซ์ซึ และต่อ ธนภพ มาประกบคู่เป็นเพื่อนรักขับรถ Classic ดูจะเป็นอะไรที่ลงตัวมาก ไม่ใช่แค่บทพูดโดนๆ แต่เป็นเพราะทั้งคู่มอบการแสดงที่เป็นธรรมชาติ แม้อายุจะห่างกันกลายเป็นเพื่อนรักกันได้แบบไม่เขิน พวกเขา 2 คนแบกเนื้อหาให้หนังไปได้ตลอด บทจะอินก็อินบทจะซึ้งก็ซึ้งไปเลย มันเป็นการเดินทางที่ทรงคุณค่าเพราะหนังสามารถตั้งคำถามกับเราได้มากมายตลอด 2 ชั่วโมงเต็มๆ อินเนอร์ของไอซ์และต่อ ทำให้นักแสดงคนอื่นๆเล่นกันได้แบบไหลลื่น แฟนเก่าทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพี่พลอย หอวัง, ออกแบบ, พี่นุ่น ศิริพันธ์, วี วีโอเล็ต หรือพี่หญิง รฐา ตัวละครคาแรกเตอร์ทุกคนเชื่อมโยงเข้ากับไอซ์และต่อได้หมด ไม่มีจุดไหนน่าเบื่อ

สิ่งสุดท้ายที่อยากชื่นชมคืองานภาพที่เป็นจุดเดียวที่ได้รับอิทธิพลมาจากงานของหว่องกาไว ในทีแรกเข้าใจว่าหนังคงเล่นกับความเหงาความรู้สึกนึกคิดของตัวละครที่ไม่คิดอะไรอยู่ไปวัน แต่เปล่าเลยหนังถูกออกแบบมาให้คนดูเข้าใจความหมายของการมีชีวิตซะมากกว่าตรงนี้แหละที่ทำออกมาได้โดนใจเรามาก เมื่อผสมผสานกับซาวด์ประกอบที่ใส่มาแต่ละซีนมันแฝงไปด้วยอารมณ์ความทุกข์ความเหงาความปวดร้าวที่มันเป็นเรื่องปกติของชีวิตคนที่มักจะเจอความทุกข์มากกว่าความสุข ทำให้การเดินทางทริปนี้มันเลยดูจริงดูจับต้องได้ หนังทำได้แตกต่างจากหนังไทยทั่วไป พี่บาสและทีมงานใส่ใจทุกรายละเอียดทุกเม็ด ไม่แปลกใจเลยที่หนังได้ไป Sundance เพราะงานภาพ ซาวด์ โลเคชั่น เสื้อผ้าหน้าผมนักแสดง สามารถขับเคลื่อนให้หนังไปได้ถึงขีดสุด

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • หว่องกาไว อยากทำหนังกับ บาส นัฐวุฒิ มากเพราะชอบฉลาดเกมส์โกง
  • บาส นัฐวุฒิ เลือกมาทำงานกับหว่องกาไวทันทีโดยยอมพักโปรเจ็คอื่นเพราะเป็นผู้กำกับในดวงใจของเขา
  • บทหนังมาจากประสบการณ์จริงจากบาส นัฐวุฒิ ชีวิตวัยรุ่นที่นิวยอร์กที่เขาเดินหน้าตามหาความฝัน แต่พบความจริงที่น่าเจ็บปวด
  • บทหนัง One For The Road เกิดจากการที่หว่องกาไว เพื่อจิตแพทย์มาพบบาส แล้วตั้งคำถามชีวิตใกล้ความตายคุณอยากทำอะไร
  • ไอซ์ซึ ณัฐรัตน์ โกนผมจริงและลดน้ำหนักไปถึง 17 กิโลกรัมเพื่อเข้าให้ถึงบทบาทคนป่วยเป็นมะเร็ง
  • เพื่อนสนิทในชีวิตของบาส นัฐวุฒิ ป่วยเป็นโรคมะเร็งและเขาทำหนังเรื่องนี้เพื่ออุทิศแก่เพื่อนที่ร่วมทุกข์ทุกสุขกันที่นิวยอร์ก
  • นักแสดงทุกคนต้องมาออดิชั่นแคสติ้งเพื่อให้หว่องกาไวดูคลิปวิดีโอตอนแคส
  • นักแสดงอย่างไอซ์ซึ วี วีโอเล็ต และต่อ ธนภพ ต้องมาชงค็อกเทล และเสิร์ฟอาหารในนิวยอร์กจริงๆ
  • ซาวด์ประกอบหนัง บาส นัฐวุฒิ ควักเงินส่วนตัวเพื่อซื้อลิขสิทธิ์เพลงมาใส่ในหนัง