Mission: impossible 2 (2000)
ฝ่าปฏิบัติการสะท้านโลก 2
คะแนน
โกดังหนัง
หยิบกลิ่นอายหนังแอ็คชั่นฮ่องกงมาใส่ได้กลมกลืน มีความแปลกใหม่ น่าเสียดายที่งานภาพไม่ได้ไหลลื่น เพราะหนังเวอร์ชั่นนี้โดนตัดภาพออกไปเยอะ
หมวดหมู่ : | Action |
สัญชาติ : | American |
กำกับโดย : | John Woo |
ความยาว : | 2 ชั่วโมง 5 นาที |
นักแสดงนำ : | Tom Cruise, Dougray Scott, Thandiwe Newton |
คำคมจากภาพยนตร์
"I Let You Know Where I'm Going, I Won't Be On Holiday."
"ผมบอกคุณแล้วว่าผมจะไปที่ไหน ผมจะไม่ไปเที่ยวพักผ่อน"
เรื่องย่อ
Ethan Hunt สายลับพิเศษถูกส่งเข้าสู่วิกฤตอันน่าหวาดผวาครั้งใหญ่ระดับชาติ เขาและ Luthur อัจฉริยะทางคอมพิวเตอร์ ต้องเดินทางข้ามทวีปออสเตรเลียและสเปน เพื่อหยุดยั้งหายนะ ฝ่าปฏิบัติการสะท้านโลก ก่อนที่วายร้ายSean Ambrose อดีตสายลับ IMF คู่ปรับเขาจะประสบความสำเร็จในภารกิจทำลายล้าง
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Mission Impossible 2 อาจเป็นภาคต่อแฟรนไชส์ที่คอหนังสายลับชอบน้อยที่สุด เพราะหนังเปลี่ยนสไตล์การเล่าเรื่องจากภาคแรกไปแบบสิ้นเชิง เนื้อหาจึงกลายเป็นหนังแอ็คชั่นแบบฮ่องกงผ่าน 3 ตัวละคร อารมณ์แบบผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ หนังเน้นฉากแอ็คชั่นที่เยอะแยะมากมา มีหลายๆฉากที่แฟนๆจดจำได้ แนะภาคนี้เปลี่ยนแปลงงานสร้างที่ความจริงจังคิวบู๊ที่มาเพียบ แม้ว่าคำวิจารณ์จะไม่ดีเท่าเทียบกับหนังภาคอื่น แต่เสน่ห์ของหนังภาคนี้เปลี่ยนแปลงงานสร้างของแฟรนไชส์นี้ในเวลาต่อมา
- สายหนังแอคชั่นสายลับ
- สายหนังซับซ้อนซ่อนเงื่อน
- สายหนังสปายสืบสวน
รีวิว / สรุปเนื้อหา
ถ้ามองย้อนกลับไปดูหนังภาคนี้เราอาจจะพบบาดแผลมากมายเรื่องการตัดต่อที่ดูไม่ไหลลื่นดูสะเปะสะปะไม่มีความกลมกลืนเป็นสักเท่าไหร่ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสิ่งที่ John Woo ผู้กำกับหนังแอ็คชั่นฮ่องกงเข้ามากำกับหนังเรื่องนี้กลับเปลี่ยนโหมดทิศทางหนังแฟรนไชส์นี้ใหม่หมด จากหนังสายลับที่พล็อตเรื่องลึกลับซับซ้อนคาดเดาอะไรไม่ได้ในภาคแรก กลายเป็นหนังที่เน้นฉากแอ็คชั่นที่เปิดโอกาสให้ Tom Cruise ได้ออกแบบทดลองเล่นฉากเสี่ยงตายเยอะแยะเต็มไปหมด การไล่ล่าทั้งขับรถบนถนน ขับมอเตอร์ไซค์ ฉากการต่อสู้ตัวต่อตัวระยะประชิดที่อันตรายทำนักแสดงบาดเจ็บมากมาย แต่ในเวลาเดียวมันทำให้เราเห็นว่าโลกในยุคต่อไปคนร้ายไม่จำเป็นต้องนักฆ่าอาวุธเถื่อนอีกต่อไป เพราะสายลับคนในองค์กรที่มีทักษะมีสกิลเหนือชั้นก็กลายเป็นโจรเองได้เหมือนกัน หนังเลยทำให้เราได้เห็นพล็อตผู้หญิงข้าใครอย่าแตะที่ตัวละครรักโจรสาวช่วงชิงเธอมาครอบครองว่าง่ายๆคือ อยากชนะใจผู้หญิงเพื่อจะได้กดขี่อีกฝ่ายนั้นเอง หนังภาคนี้ทำให้เราได้สัมผัสการทำงานของสายลับว่า คุณต้องทำงานแบบลับๆพลาดเมื่อไหร่องค์กรพร้อมตัดหางทันทีมันเลยแตกต่างจาก James Bond
การเล่าเรื่องในหนังภาคนี้ดูช้าๆสโลว์เน้นขายตัวละครไปพร้อมกับฉากแอ็คชั่น ซึ่งเมื่อก่อนอาจขายคนดูได้แต่โลกยุคนี้หลายอย่างเปลี่ยนไปเราไม่สามารถยึดไอเดียวิธีคิดแบบเดิมๆได้ สิ่งที่หนังภาคนี้คนจดจำได้มากกว่าแค่เพลงประกอบนี่แหละ Take A look around ของ Limp Bizkit ที่วงทำไว้ก่อนหนังเข้าฉาย 1 ปี ตอนวงยังไม่ดัง ปรากฏว่าพอดัง ทีมผู้สร้างค่ายหนังค่ายเพลงแย่งลิขสิทธิ์กัน แต่สุดท้าย พวกเขารอให้หนังเข้าฉายและปล่อยไปพร้อมๆกัน โด่งดังพลุแตกทั้งเพลงทั้งหนังดังระเบิด ซาวด์ประกอบเพลงสกอร์หนังคือหัวใจหลักของภาคนี้มันช่วยขับเคลื่อนอารมณ์ไปด้วย Hans Zimmer ควบคุมทุกอย่างทำให้แม้ว่าภาพหนังจะดูไม่แนบเนียนความต่อเนื่องไม่ดีมากหนัก แต่สุดท้ายหนังก็ทำเงินมหาศาลในเวลานั้น
ชื่อของ Tom Cruise คือพระเอกคนดังเล่นหนังเรื่องไหนรายได้ถล่มทลายอยู่แล้ว หนังเรื่องนี้เขาพยายามหยิบแรงบันดาลใจจาก Bruce Lee ที่เขาชื่นชอบ และมอบโจทย์ให้ John Woo ดีไซต์ฉากแอ็คชั่นคิวบู๊เพื่อให้เขาได้แสดงเอง งัดทักอย่างที่นักสร้างหนังฮ่องกงมีออกมาเพื่อเนรมิตรให้เขากลายเป็นแอ็คชั่นสตาร์ซึ่งภาพที่ออกมา ถ้าใครชอบ Mission ภาคแรก มาดูภาคนี้แล้วจะเห็นความแตกต่างชัดเจนที่โหมดการแสดงของ Tom เปลี่ยนแปลงไปทันที ด้านนางเอกโจรสาว Thandiwe Newton ที่ได้รับโอกาสมาเล่นหนังสายลับ ถือเป็นการพลิกโฉมหน้าเช่นกันที่เปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงผิวสีได้รับความเท่าเทียมจากหนังแอ็คชั่นสายลับบล็อคบัสเตอร์ การแสดงเป็นบทผู้หญิงโลเล หักหลังแฟนก็เป็นอะไรที่ดาร์ครุนแรงเหมือนกัน ส่วน Dougray Scott วายร้ายหลักของเรื่องเล่นดี คู่ปรับ Ethan Hunt ที่หนังเรื่องนี้ทำให้เขาอดเป็น Wolverine พลาดโอกาสดีๆไปอย่างน่าเสียดาย ส่วนตัวนี่คือตัวร้ายที่น่าจดจำในแฟรนไชส์นี้
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- หนังต้นฉบับมีความยาว 3 ชั่วโมง 30 นาที แต่โดนตัดออกเพราะสตูดิโอต้องการให้เหลือ 2 ชั่วโมง เลยเป็นที่มาว่าทำไมหนังถึงดูแตกต่างไม่เป็น 1 เดียวกัน
- Hugh Jackman ได้บท Wolverine เพราะหนังเรื่องนี้
- Dougray Scott วายร้ายของเรื่องอดเล่นบท Wolverine ใน X-Men ภาคแรก ทั้งที่เซ็นสัญญาไปแล้วเพราะอาการบาดเจ็บจากการเล่นฉากไล่ล่ากับ Tom Cruise
- Thandiwe Newton ได้เล่นเป็นนางเอกเพราะ Nicole Kidman อดีตภรรยา Tom Cruise เป็นคนแนะนำ
- Brian De Palma ปฏิเสธจะกำกับหนังเพราะไม่อยากทำหนังซ้ำซากจากไอเดียเดิมของตัวเองในภาคแรก
- Limp Bizkit ได้ทำเพลงประกอบเพราะวง Korn ปฏิเสธ เพราะไปทัวร์คอนเสิร์ต ผู้จัดการวงเลยแนะนำ
- Take a Look Around เนื้อหาไม่ได้เชื่อมโยงอะไรกับหนังเลย Fred Durst แต่งมาเพื่อประชดคนที่ชอบด่าเขา
- Limp Bizkit ทำเพลงประกอบในวันที่วงยังไม่ดัง ในตอนที่ปล่อยอัลบั้ม 2 ตามที่ Tom Cruise ไม่อยากได้วงที่มีชื่อเสียง ปรากฏว่าหลังจากนั้น 2 เดือน อัลบั้ม Significant Other ของ LB ออกปรากฏว่าวงโด่งดังประสบความสำเร็จเกินคาด
- Hans Zimmer เกือบไม่เอาเพลง Take a Look Around มาใช้ในภาพยนตร์ เพราะความเรื่องมากของ Limp Bizkit
- John Woo ผู้กำกับเป็นคนที่ปรับทิศทางแฟรนไชส์นี้ใหม่ทั้งหมด เขาเลือกใช้ฉากแอ็คชั่นเพื่อให้นักแสดงได้เล่นเอง
- Tom Cruise เกือบตาบอดในเรื่อง
- Take a Look Around คือเพลงที่ทำเสร็จไว้ตั้งแต่ปี 1999 และเมื่อหนังออกฉายปรากฏว่าเพลงดังกว่าภาพยนตร์
- Thandiwe Newton ยอมถอนตัวออกจากหนัง Charlie's Angels เพื่อมาเป็นนางเอกเรื่องนี้
- John Woo ได้กำกับหนังเรื่องนี้ หลังจากที่ไปทำโฆษณา Nike ที่ประเทศบราซิล
- เพราะหนังเรื่อง Face/Off ทำให้ Tom Cruise เลือก John Woo มากำกับหนัง