Memento (2000)
ภาพหลอนซ่อนรอยมรณะ
คะแนน
โกดังหนัง
หนังที่สะท้อนอัจฉริยะของพ่อโนแลน สมัยทำหนังเล็กแต่สนุกเกินคาด เล่าเรื่องย้อนหลังได้ล้ำลึก ซับซ้อน และดูยากขึ้นไปอีกระดับ
คำคมจากภาพยนตร์
"We all need memories to remind ourselves who we are." “เราทุกคนต้องการความทรงจำ เพื่อตอกย้ำว่าเราเป็นใคร”
เรื่องย่อ
ลีโอนาร์ด เชลบี้ ชายที่มีปัญหาไม่สามารถเก็บความทรงจำในระยะสั้นได้ ส่งผลให้เมื่อเขาเจอกับเหตุการณ์ใหม่ๆ ในชีวิต เขาจะจดจำได้แค่เพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น ในความทรงจำของเขาไม่มีสิ่งอื่นใดหลงเหลือนอกจากการตามล่าหาฆาตกรที่ฆ่าข่มขืนภรรยาของเขา และทำให้เขาต้องตกอยู่ในสภาวะจดจำอะไรไม่ได้เช่นนี้ จากการกระทำของชายที่มีชื่อว่า จอห์น จี ภารกิจครั้งนี้เมื่อพึ่งพาความทรงจำไม่ได้ เขาจึงต้องใช้โน้ตและรอยสักของตัวเองเป็นตัวแทนความทรงจำที่มีอยู่ แต่สุดท้ายแล้วความทรงจำที่เขามีอยู่จากการสร้างขึ้นมาเองนั้น มันจะเชื่อได้แค่ไหนกัน
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Memento เหมาะกับคนที่ชอบหนังของเสด็จพ่อโนแลนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และพร้อมกระโจนเข้าไปในเรื่องราวที่ต้องอาศัยความตั้งใจ ใช้ความคิดในการดู จากการเล่าเรื่องที่สลับซับซ้อนไม่เหมือนใคร มีทั้งจากหน้าไปหลัง และหลังไปหน้าด้วยแล้ว คนที่ชอบหนังที่ใช้ความคิดเยอะๆ และให้สมองได้ทำงาน ก็น่าจะสนุกกับมันได้อยู่ไม่น้อยเลย แต่สำหรับคนที่ชอบดูอะไรง่ายๆ เรื่องนี้ก็อาจไม่เหมาะเท่าไรนัก เพราะหนังไม่ได้มีฉากแอคชั่นอึกทึกโครมคราม แต่กลับเต็มไปด้วยบทพูดของตัวละครมากมายแทน อีกทั้งในบางช่วงก็อาจจะอืดเกินไปสำหรับใครที่ชอบหนังสไตล์ตื่นเต้นๆ หรือชวนลุ้นระทึกกว่านี้ด้วย ใครที่ชอบหนังท้าทายสมอง อย่าง Dark City, Predestination หรือ Inception แล้ว ต้องลอง Memento สักครั้งจริงๆ
- สายหนังเล่าเรื่องล้ำๆ
- สายหนังติ่งเสด็จพ่อโนแลนด์
- สายหนังอาชญากรรมซับซ้อน
รีวิว / สรุปเนื้อหา
ผลงานเรื่องที่ 2 ที่เรียกว่าแจ้งเกิดให้กับความอัจฉริยะของผู้กำกับ Christopher Nolan เลยก็ว่าได้ เพราะเทียบกับสเกลของหนังเรื่องหลังๆ ของเขาแล้วเรื่องนี้นับเป็นหนังเล็กที่ทุนต่ำมาก แต่มันกลับสร้างความท้าทายกับสมองคนดูให้เริ่มต้นทำงานตลอดเวลานับตั้งแต่ตอนเปิดเรื่องไปจนถึงตอนจบ ด้วยลูกเล่นที่ไม่เหมือนใครกับการเล่าเรื่องแบบย้อนถอยหลัง พร้อมทั้งเฉลยกันโต้งๆ ตั้งแต่ต้นเรื่องว่าปลายทางของเรื่องราวจะเป็นเช่นไร และจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวละครแต่ละตัวบ้าง แต่ที่ประหลาดใจก็คือตัวหนังกลับยังสนุก และสร้างความอยากรู้อยากเห็นให้กับคนดูได้อยู่
เพราะตัวหนังมีการสับขาหลอกไปมา ว่าสุดท้ายแล้วเรื่องราวมีต้นสายปลายเหตุมาจากอะไรกันแน่ ตัวละครแต่ละตัวที่ต่างมาเติมในหนังนี้ แม้ว่าบางคนจะดูเหมือนให้ความช่วยเหลือ หรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับอดีตของตัวละครได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วก็ดูเหมือนแต่ละตัวจะมีผลประโยชน์แอบแฝงของตัวเอง หรือหลอกใช้ตัวเอกทำอะไรบางอย่าง จนยากที่จะเชื่อใจได้ ก็ทำให้คนดูเองก็ไม่แน่ใจไปพร้อมๆ กับตัวละครเอกของเรื่องว่า อะไรคือข้อเท็จจริงกันแน่ เพราะตลอดการเปลี่ยนซีนของหนัง ก็ทำให้คนดูฉงนได้ตลอด ว่าใครหลอกใคร ใครหักหลังใคร จนอยากรู้ที่มาของเรื่องราวแบบใจจะขาด ทั้งที่โดยปกติแล้วเราควรอยากรู้ผลของเรื่องราวมากกว่า
ด้วยการที่หนังเล่นท่ายาก ทั้งการตัดช่วงภาพสี ที่เล่าย้อนหลังจากผลไปต้นเหตุ และการตัดฉากไปที่ช่วงขาวดำที่เล่าเรื่องเดินหน้าปกติจากเหตุไปผล ทำให้ในการดูครั้งแรกที่อาจยังจับทางไม่ได้นั้น อาจสร้างความสับสนมึนงงให้กับคนดูอยู่พอสมควร อีกทั้งหนังยังดำเนินเรื่องด้วยบทสนทนาเป็นหลัก ทำให้คนดูต้องอาศัยความตั้งใจและสมาธิในการดูอยู่มาก เพื่อที่จะให้เข้าใจและสนุกกับหนังไปได้ แต่ถึงอย่างไร Memento ก็ยังเป็นหนังของเสด็จพ่อโนแลนในยุคแรกๆ ที่เน้นรูปแบบแปลกใหม่ สอดแทรกความชาญฉลาด ชวนค้นหา และพร้อมให้คนดูหนังซ้ำได้อีกสักที (หรือมากกว่านั้น) หากยังไม่เข้าใจตัวหนังได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยความซับซ้อนที่ว่าก็ทำให้หนังได้มีโอกาสเข้าชิงรางวัลสำนักต่างๆ ในสาขาของบทยอดเยี่ยมอีกด้วย (แต่ก็ไม่ได้อะไรติดมือกลับมา)
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- ตัวบทหนังของ Memento นั้น จริงๆ แล้วเอามาจากเรื่อง “Memento Mori” ของ Jonathan Nolan น้องชายของ Christopher Nolan เอง ซึ่งเครดิตของบทก็ตกเป็นของ Christopher แทน เนื่องจากผลงานนี้ยังไม่เคยตีพิมพ์มาก่อน
- อาการของตัวละครเองในเรื่องนั้น มาจากอาการทางแพทย์จริงๆ ที่เรียกว่า “Anterograde Amnesia” ที่สมองสูญเสียความสามารถในการเก็บความทรงจำใหม่ เพราะเกิดความเสียหายในส่วน Hippocampus
- ด้วยการเล่าเรื่องแบบย้อนหลัง จน Nolan เองกลัวว่าคนดูจะไม่สังเกต และดูหนังไม่รู้เรื่อง จึงใส่ฉากเปิดด้วยกระสุนที่ย้อนกลับมาเข้าปืน เพื่อเป็นสัญญาณบอกกับคนดูว่าเรื่องนี้จะมีการเล่าแบบ Reverse นะ