Little Miss Sunshine (2006)
ลิตเติ้ล มิสซันไชน์ นางงามตัวน้อย ร้อยสายใยรัก
คะแนน
โกดังหนัง
แม้ครอบครัวนี้จะเป็น Loser ทั้งบ้าน
แต่ก็หันหน้ามารวมใจกันช่วยเหลือคนในบ้าน
หนังให้ความรู้สึกชุ่มฉ่ำหัวใจเนื้อหาสนุกจนยากที่จะลืม
คำคมจากภาพยนตร์
"A real loser is someone who's so afraid of not winning he doesn't even try." พวกขี้แพ้ตัวจริงคือพวกที่กลัวว่าจะไม่ชนะ โดยที่ยังไม่ได้พยายามด้วยซ้ำ
เรื่องย่อ
เรื่องราวของครอบครัว Hoover สมาชิก 6 คนที่ต้องโดยสารรถตู้ร่วมกันเพื่อไปส่ง โอลีฟ หลานสาวคนเดียวของบ้านให้ทันการประกวดนางงามรุ่นจิ๋วจากนิว เม็กซิโก เดินทางไปยังแคลิฟอร์เนียเป็นระยะทาง 800 ไมล์ โดยที่ตลอดเส้นทางคนในครอบครัวต่างได้เรียนรู้ความหมายที่แท้จริงในการใช้ชีวิตว่าที่สุดแล้ว การที่มีครอบครัวที่รักเรามีค่ามากกว่าสิ่งอื่นใด
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Little Miss Sunshine เป็นหนังแนวดราม่า คอเมดี้ ที่สอดแทรกปัญหาภายในสถาบันครอบครัว เราได้เห็นถึงความขี้แพ้ของทุกๆตัวละครที่ทำอะไรไม่ประสบความสำเร็จสักอย่าง พวกเขามารวมตัวกันเพื่อสานฝันให้หลานสาว บนรถที่ดูไม่สมประกอบเลยสักนิด หนังสื่อสารให้เรารู้ว่าไม่มีใครพ่ายแพ้ในชีวิตไปได้ตลอด เรื่องร้ายๆมีสิ่งดีๆอยู่ เราไม่จำเป็นต้องให้ใครมายอมรับเรา ขอเพียงแค่ใช้ชีวิตให้มีความสุขก็เพียงพอแล้ว หนังให้ความรู้สึก Feel Good มากๆ คนที่ดูเรื่องนี้จะอมยิ้มและมีความสุขเมื่อดูจนจบเรื่อง
- สายหนังคอเมดี้
- สายหนัง Feel Good
- สายหนังที่ชอบหาแรงบันดาลใจ
- สายหนังครอบครัว
รีวิว / สรุปเนื้อหา
ไม่น่าเชื่อว่าการไปส่งหลานสาวในบ้านเพื่อไปประกวดนางงามเด็ก ของครอบคัว Hoover ที่เดินทางด้วยรถตู้โฟล์คสีเหลือง ระยะทางแค่ 2 วันจากนิวเม็กซิโกไปแคลิฟอร์เนีย จะกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่มาเยียวยาหัวใจที่พ่ายแพ้ของสมาชิกในบ้านนี้ไปได้ ทุกคนมีปมในใจติดตัวมาด้วย แต่เมื่อมาใช้ชีวิตร่วมกันบาดแผลที่เคยมีมันค่อยๆเยียวยาวความรู้สึกออกไปได้ริชาร์ด หัวหน้าครอบครัวที่ยึดติดกับการพยายามเดินตาม เส้นทาง สู่ความสำเร็จ แต่ยิ่งเขาพยายามมากเท่าไร ความสำเร็จกลับยิ่งไกลออกไปจากตัวเขามากขึ้นเท่านั้น แต่ใช่ว่าโชคชะตาจะร้ายกับเขาไปเสียหมด เพราะริชาร์ดยังมี เชอริล ภรรยาที่ทั้งคอยผลักดันและกดดันอยู่ไม่ห่าง แฟรงก์ จินสเบิร์ก น้องชายของเชอรีล อาจารย์มหาวิทยาลัยที่ช้ำรักจากลูกศิษย์หนุ่ม จนเกิดอาการซึมเศร้าและคิดจบชีวิตของตัวเอง เอ็ดวินคุณปู่จอมซ่าผู้ไม่ยี่หระต่อสิ่งใดในชีวิต แถมติดเฮโรอีนเป็นประจำ, ดเวย์น เด็กหนุ่มวัยค้นหาตัวเองที่มี Friedrich Nietzsche เป็นไอดอล เขาคือวัยรุ่นที่พยายามทำทุกอย่างเพื่อความฝัน ถึงขนาดยอมไม่คุยกับคนในครอบครัวเด็ดขาดจนกว่าความฝันนั้นจะสำเร็จ และ โอลีฟ หนูน้อยที่ความฝันของเธอเป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง
มีคนบอกกันว่าไม่มีใครแพ้ได้ตลอดเวลาอยู่ที่ว่าเราจะเรียนรู้แล้วลุกขึ้นมาจากปัญหาได้เมื่อไหร่ หนังบอกเราอย่างนั้น ในการเดินทางของครอบครัวนี้กับรถตู้สีเหลืองที่ดูไม่สมประกอบ ขับปกติไม่ได้ ดับๆติดๆ พวกเขาต้องมาเจอเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันที่รออยู่ตรงหน้าทางคุณปู่เสียชีวิตระหว่างทาง ซ้ำร้ายสุดๆคือพวกเค้าต้องขโมยศพปู่มาเดินทางไปด้วย หรือความผิดหวังของตัวละคร ดเวย์น ที่ฝันสลายเหมือนสิ่งที่ทำไม่มีวันเป็นจริง ใครปลอบใจมากแค่ไหนก็ไม่หลุดพ้นมันไปได้ จนกระทั่ง โอลีฟที่เป็นคนกล่อมจนบาดแผลในใจค่อยๆจางหายไป ตัวละครทุกคนมีปัญหาแต่ทุกๆคนดูจะเติบโตขึ้นเพราะสาวน้อยคนเดียวภายในบ้าน ทำให้ทุกๆคนร่วมมือกันปกป้องเทคแคร์ความรู้สึกคนในบ้านเอาไว้หนังเหมือนดูเศร้า แต่ดูแล้วสิ่งที่ได้กลับมามันช่างอบอุ่นหัวใจ ทำให้ทุกคนเลือกจะเดินหน้าต่อเพื่อสานฝันให้ โอลีฟ เข้าประกวดให้ได้
หนังเลือกจะจัดวางให้นักแสดง 6 คน อยู่ในเฟรมเดียวกัน และนักแสดงทุกคนก็สามารถส่งบทได้สนุกลงตัวดีมุขตลกออกมาเต็มเลยทำให้รู้สึกว่าเป็นธรรมชาติไม่ได้ยัดเยียดอะไร ช่วงสุดท้ายหนังก็เลือกเสียดสีการประกวดได้แบบเจ็บแสบเหมือนกัน จนบางทีเราก็รู้สึกว่าคนเราบางครั้งเรามีความสามารถ บางครั้งไม่ต้องไปประกวดอะไรเพื่อให้คนมายอมรับหรือตัดสินเราหรอก เพราะสุดท้ายชีวิตเรามันก็ต้องต่อสู้อยู่แล้ว เราไม่ต้องไปแข่งขันกับใคร เราแค่พิสูจน์ว่าตัวเองมีคุณภาพพอ แค่นี้มันก็ชนะใจตัวเองแล้ว คนมากมายมัวแต่หมกมุ่นกับคำว่าที่ 1 ในการประกวด ผู้ปกครองลุ่มหลงในความงาม สวยเลิศเชิดหยิ่ง และต้องได้รับชัยชนะ จนลืมประเด็นนี้ไป ช่วงสุดท้ายของหนังทำให้ตัวละครปลดปล่อยปัญหาในตัวเองทิ้งไป และมันทำให้ทุกคนได้เข้าใจความหมายที่แท้จริงการใช้ชีวิตคือความสุข คือความรู้สึกดีที่ได้ลงมือทำที่ออกมาจากความรู้สึกข้างในจิตใจตัวเอง
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- หนังเข้าชิง 4 รางวัลออสการ์ 2007 คว้ามาได้ 2 รางวัลบทหนังยอดเยี่ยม และนักแสดงสมทบยอดเยี่ยม Alan Arkin
- หนังเข้าฉายที่เทศกาลหนัง Sundance Film Festival ต้นปี 2006 จนค่าย Fox Searchlight Pictures ยื่นข้อเสนอ $10.5 ล้านเหรียญ เพื่อซื้อสิทธิ์หนังไปฉาย
- หนังใช้เวลาถ่ายทำเพียง 30 วัน เดินทางจาก Arizona ถึงตอนใต้ของ California
- โดยรถ Volkswagen T2 Microbus มีทั้งหมด 5 คัน โดย 3 คันมีเครื่องยนต์ขับเคลื่อน อีกสองคันต้องใช้รถลาก ติดกล้องภายนอก