Jumanji (1995)
เกมดูดโลกบุกป่ามหัศจรรย์
คะแนน
โกดังหนัง
ตื่นเต้นกับผจญภัยของเกมทอยเต๋าในโลกมหัศจรรย์
ปลุกจินตนาการไปกับเรื่องราวสุดสร้างสรรค์ กับเกมกระดานสุดคลาสสิค
คำคมจากภาพยนตร์
“I've seen things you've only seen in your nightmares. Things you can't even imagine. Things you can't even see."
“ฉันเคยเห็นสิ่งที่เธอจะได้เห็นแค่จากในฝันร้ายเท่านั้น สิ่งที่เธอไม่สามารถจินตนาการได้ เป็นสิ่งที่เธอก็ไม่สามารถมองเห็น
เรื่องย่อ
ในปี 1969 อลัน ลูกชายเจ้าของโรงงานผลิตรองเท้า ได้พบกับเกมกระดานปริศนาอันหนึ่งชื่อว่า Jumanji เขาจึงได้ชวนเพื่อนหญิงมาเล่นเกมกระดานนี้ด้วยกัน จนพลาดท่าทำให้เกมดูดเขาเข้าไปในกระดานนั้นจนไม่กลับออกมาอีกเลย ผ่านไป 26 ปี บ้านหลังนี้ถูกซื้อจากเจ้าของใหม่ โดยมีเด็ก 2 คน ปีเตอร์ และจูดี้ ที่ได้ยินเสียงเกมกระดาน Jumanji เรียกร้องให้พวกเขาไปเปิดมัน จนทำให้อลันสามารถหลุดออกมาจากเกมได้ พร้อมทั้งสิงสาราสัตว์ชนิดอื่นๆ ซึ่งวิธีเดียวที่จะทำให้ทุกอย่างกลับไปเป็นเหมือนเดิมก็คือ การเล่นเกมให้จบเท่านั้น!
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Jumanji นั้น นับเป็นอีกหนึ่งหนังผจญภัยแบบครอบครัวสุดบันเทิงของยุค 90s ด้วยความแปลกใหม่ที่เอาเกมทอยเต๋ามาสร้างสถานการณ์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี และชวนลุ้นทุกครั้งในแต่ละตาว่าจะมีอะไรโผล่ออกมาอีก จนเรียกได้ว่าเป็นหนังครอบครัวที่สามารถสนุกกันได้ทั้งบ้านแบบไม่มีพิษภัย และไม่เด็กเกินไปจนน่าเบื่อ ซึ่งถ้าดูเวอร์ชั่นใหม่ อย่าง Jumanji: Welcome to the Jungle แล้วยังชอบ หรือเคยดู Zathura แล้วถูกใจ ลองย้อนมาดูต้นฉบับกันหน่อยจะพบกับมนต์เสน่ห์ความเก๋าที่สนุกไม่แพ้กัน
- สายหนังผจญภัยครอบครัว
- สายหนังเอาชีวิตรอดจากเกม
- สายหนังแฟนตาซีชวนลุ้น
รีวิว / สรุปเนื้อหา
สำหรับ Jumanji ในภาคต้นฉบับนั้น น่าจะเป็นหนังในดวงใจในวัยเด็กของใครหลายๆ คนเลย ด้วยการเล่าเรื่องที่แสนง่าย แต่มีพล็อตเรื่องสุดล้ำในแบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน จากการดัดแปลงมาจากหนังสือเด็กในชื่อเดียวกัน ของ คริส แวน ออลส์เบิร์ก ที่ในเวอร์ชั่นหนังนี้ก็เรียกได้ว่าจัดเต็มความเป็นแฟนตาซีแบบครอบครัว ออกมาบนแผ่นฟิลม์ได้เป็นอย่างดี และมี CG รวมถึงการตกแต่งฉากที่โอเคมากๆ สำหรับการเป็นหนังในยุคนั้น แต่ถ้าหยิบมาดูตอนนี้ก็อาจจะมีอะไรขัดๆ ตาอยู่ไม่น้อยแต่รวมๆ ก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้
ส่วนที่ทำให้หนังกลมกล่อมขึ้นมากก็คือการผสานระหว่างการผจญภัย กับความเป็นครอบครัวที่แสนลงตัว จนทำให้คนดูมาร่วมลุ้นทุกครั้งที่ตัวละครทอยเต๋าว่าตัวเลขที่ออกมาในแต่ละครั้งจะพาพวกเขาไปเผชิญกับอะไร ซึ่งแต่ละอย่างที่ออกมาก็ชวนเซอร์ไพร์ซสร้างความสนุกได้เบอร์ใหญ่เหลือเกิน อีกทั้งตัวหนังก็ค่อยๆ ไต่ระดับเล่นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนนำไปสู่ฉากไคลแม็กซ์สุดสนุกในตอนท้าย ในส่วนของความสัมพันธ์ของทีมผู้ใหญ่ และทีมเด็กก็ทำออกมาได้อย่างน่ารัก ชวนอบอุ่นหัวใจก็เสริมความเป็นหนังครอบครัวได้มากยิ่งขึ้น
คงไม่แปลกใจนักหากจะนับ Jumanji เป็นอีกหนึ่งภาพจำของเด็กยุค 90s ที่โตมากับมัน จากความบันเทิงที่เต็มไปด้วยจินตนาการที่สร้างสรรค์ จนในวงการหนังเองก็ยังมีการทำหนังในพล็อตเดียวกันออกมาแต่เป็นธีมอวกาศอย่าง Zathura: A Space Adventure (2005) รวมถึงการรีบู้ท Jumanji กันขึ้นมาใหม่ ให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้นจากเกมกระดานเป็นเครื่องเล่นเกมแทน ก็ทำออกมาได้ดีเช่นกัน แต่สำหรับเด็กยุคนั้นแล้ว ยังไงก็มีภาพจำกับความผูกพันกับเวอร์ชั่น 1995 นี้มากกว่าอย่างแน่นอน
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- คำว่า “Jumanji” ตามนิยายต้นฉบับของ Chris Van Allsburg นั้น มีความหมายว่า ผลที่ตามมาหลายอย่าง ซึ่งก็สื่อไปถึง ความตื่นเต้นที่ตามมาในแต่ละรอบ ที่ตัวละครจะต้องเผชิญหลังจากทอยเต๋าในตาตัวเอง
- ดาราอย่าง Bradley Pierce ในบทของ น้องปีเตอร์ ต้องใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมงต่อวันในการแต่งหน้าเพื่อเข้าฉากที่ต้องเป็นลิง ที่ใช้เวลาถ่าย 15-20 วัน ซึ่งเขารู้สึกสนุกไปกับกระบวนการนี้มาก (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไม 555+)