Judas and the Black Messiah (2021)
จูดาส แอนด์ เดอะ แบล็ก เมสไซอาห์
คะแนน
โกดังหนัง
เนื้อหาเข้มข้นทรงพลังบีบคั้นทุกห้วงอารมณ์
เข้าใจความรู้สึกคนผิวสีที่ออกมาต่อสู้เพื่อให้ได้รับอิสรภาพในยุคก่อนจริงๆ
คำคมจากภาพยนตร์
"At Least They Died For The People. We Should Be So Lucky." "อย่างน้อยที่สุดพวกเขาก็ตายเพื่อประชาชนเราควรจะโชคดีมาก"
เรื่องย่อ
เรื่องจริงของ วิลเลียม โอนีล ชายหนุ่มผิวสีที่ยอมร่วมมือกับผู้อำนวยการหน่วย FBI เจ.เอ็ดการ์ ฮูเวอร์ ในการสวมรอยเข้าไปเป็นหนึ่งในสมาชิก Black Panther Party (BPP) องค์กรที่คอยขับเคลื่อนสิทธิและเสรีภาพของคนผิวสีในอเมริกา ซึ่งมีบทบาทอย่างมากในช่วงปี 1966-1982 เพื่อจับตาดู เฟรด แฮมป์ตัน ประธานองค์กร Black Panther Party ประจำรัฐอิลลินอยส์ และร่วมวางแผนลอบสังหารเฟรดที่เกิดขึ้นในวันที่ 4 ธันวาคม 1969 ซึ่ง ณ เวลานั้นเฟรดมีอายุเพียง 21 ปีเท่านั้น
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Judas and the Black Messiah คือการหยิบช่วงเวลาของนักต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพของคนผิวสีออกมาเล่าในมุมสว่างให้ความรู้สึกเป็นธรรม จากการกฏขี่ข่มเหงของกลุ่มคนที่เห็นต่างทั้งเรื่องสีผิว และสิทธิมนุษยชนที่ในยุคก่อนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หลายๆแง่มุมค่อนข้างสะเทือนใจกับการกระทำที่ไม่เป็นธรรมของทางการที่อยากจัดการกลุ่มคนที่เห็นต่างที่เรียกร้องความยุติธรรม หนังชำแหละเนื้อหาได้ตรงไปตรงมา
- สายหนังดราม่า
- สายหนังที่ชอบการเมือง
- สายหนังที่รักประวัติศาสตร์
รีวิว / สรุปเนื้อหา
หนังดราม่าชีวประวัติชั้นดี ของชายหนุ่ม เฟรด แฮมป์ตัน ประธานองค์กร Black Panther Party ประจำรัฐอิลลินอยส์ ที่ต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิและเสรีภาพให้กลุ่มคนผิวสีจากทางการสหรัฐ หนังเล่าเรื่องได้ทรงพลังเข้าใจหัวอกคนผิวดำยุคก่อน นี่คือภาพจำลองความจริงในสภาพสังคมอเมริกันในยุค 60 ที่โดนกดขี่ข่มเหงเพราะความต่างทางสีผิว คนผิวสีรับรู้ถึงการมีตัวตนแต่กลายเป็นลูกไล่ชนชั้น 2 ให้คนผิวขาวกระทำ เฟรด แฮมป์ตัน ชายหนุ่มผิวสีที่รักษาอิสรภาพรักความถูกต้อง เขาไม่ต่างจาก มาร์ติน ลูเธอร์ คิงส์ และ มาล์คอล์ม เอ็กซ์ X ที่ต้องการให้สังคมมีความเท่าเทียมกัน ไม่ต้องไปแบ่งก๊กแบ่งกลุ่ม เคารพในความเป็นเห็นต่างใชีชีวิตร่วมกันได้ เขาจึงพยายามระดมกลุ่มคนผิวสีที่แบ่งพรรคแบ่งฝ่ายเข้าไว้เพื่อต่อสู้กับทางการสหรัฐที่มองพวกเขาเป็นศัตรู แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้เลยว่า คนผิวสีในพรรคคือสายให้ตำรวจ และทำหน้าที่ปลุกปั่น
หนังพาเราไปรู้จักกลุ่มคณะปฏิวัติและต่อสู้เพื่อคนผิวสี ที่นำโดย เฟรด แฮมป์ตัน เนื้อหาค่อยๆเล่าถึงความล้มเหลวของกระบวนการยุติธรรมซึ่งมันสะท้อนภาคที่เลวร้ายสังคมสมัยก่อนที่น่าหดหู่และเจ็บปวด ทำไมคนผิวสีถึงโดนกระทำแบบนี้ ชอบ 2 ประโยคในหนัง “ที่ไหนมีประชาชน ที่นั้นมีอำนาจ” และ “ผมจะตายเพื่อประชาชน เพราะผมมีชีวิตอยู่เพื่อประชาชน” ยิ่งดูไปเรื่อยๆมันสะเทือนอารมณ์ความรู้สึก หดหู่ มันทำให้เกิดการตั้งคำถามว่า เพียงเพราะสีผิวหรอทำไมถึงโดนขนาดนี้ วัฒนธรรมยุคก่อนไม่ได้เปิดรับเหมือนยุคนี้ มันเหมือนการโดนลิดรอนสิทธิ และยิ่งการที่หนังมีประเด็นหักหลังทรยศเข้ามาเกี่ยวข้อง มันก็เหมือนภาพที่บ่งบอกว่าสุดท้ายแล้วคนยอมทำแบบนี้เพื่อผลประโยชน์และความอยู่รอดแล้ว
การเล่าเรื่องผ่านเฟรมภาพมุมกล้องให้ความรู้สึกเหมือนเราเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์จริง ฉากหลังเหมือนยุคเก่าจริงๆ ทั้งเสื้อผ้าหน้าผม รถยนต์ที่ใช้มันดู Classic Vintage ดีแหะ แถมยังมีซาวด์ประกอบที่มาช่วยสร้างความระทึกให้แต่ละฉากของหนังมีความกดดันความหวาดกลัวลงไป ผ่านการแสดงโดยดารานำ 2 คน ลาคีธ สแตนฟิลด์ และ แดเนียล คาลูยา ทั้งคู่แสดงออกมาได้ดีมากๆ เหมือนเป็นตัวแทนของความอยู่รอดและสู้เพื่ออิสรภาพ ซึ่งเป็นคาแรกเตอร์ที่แตกต่างสิ้นเชิงเหมือนขาวกับดำ
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- หนังเข้าชิงรางวัลออสการ์ 2021 ไปถึง 5 สาขา
- หนังคว้า 2 รางวัล ออสการ์ คือสมทบชายยอดเยี่ยมและเพลงประกอบยอดเยี่ยม
- Fred Hampton Jr. เต็มใจมาเป็นที่ปรึกษาหนังเรื่องนี้เพื่อนำเรื่องพ่อของเขามาเล่าสู่แผ่นฟิล์ม