How to train your dragon (2010)
อภินิหารไวกิ้งพิชิตมังกร
คะแนน
โกดังหนัง
Animation สุดมันส์ กับมิตรภาพของคนและมังกร ที่ทำออกมาได้สนุกถึงใจและไม่สดใสจนเกินไปแบบค่ายอื่นๆ
คำคมจากภาพยนตร์
“The most important day of your life is not the day you are born, but the day you learn why.”
“วันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรานั้น ไม่ใช่วันที่เราเกิดมาหรอก แต่เป็นวันที่เราได้เรียนรู้ว่าเราเกิดมาทำไม”
เรื่องย่อ
ฮิคคัพ หนุ่มน้อยลูกชายหัวหน้าเผ่าไวกิ้งแห่งดินแดนเบิร์ก ที่มักมีมุมมองแตกต่างจากคนอื่นในเผ่า จนไม่เป็นที่ยอมรับของผู้คน ซึ่งวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของเผ่าก็คือ การออกล่าและต่อสู้กับมังกร เมื่อถึงวัยหนึ่ง ฮิคคัพ ก็ได้มีโอกาสเข้าร่วมฝึกมังกรกับวัยรุ่นคนอื่นๆ เขาจึงมองว่ามันคือโอกาสพิสูจน์ตัวเองในฐานะนักรบเพื่อให้เป็นที่ยอมรับ แต่แล้วเขาก็ได้พบกับ เขี้ยวกุด มังกรสีดำที่กำลังบาดเจ็บอยู่ โลกของเขาก็ต้องเปลี่ยนไปอีกครั้ง เมื่อฮิคคัพ และเขี้ยวกุดต่างเริ่มต้นมิตรภาพต่างสายพันธุ์ขึ้นมา จนทำให้อนาคตของเผ่าไวกิ้งต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ How to train your dragon จะเหมาะอย่างมากสำหรับคนที่ชอบ Animation แนวผจญภัยแฟนตาซี และต้องการเปลี่ยนรสชาติจากค่าย Disney หรือ Pixar ที่ครองตลาดมาโดยตลอดอยู่บ้าง ซึ่งเรื่องนี้ก็ทำหน้าที่ตัวเองได้เป็นอย่างดีในการสร้างความบันเทิงให้กับคนดูแบบครบรส ไม่ว่าจะเป็นพาร์ทแอคชั่น พาร์ทดราม่าความสัมพันธ์พ่อ-ลูก พาร์ทมิตรภาพของตัวละคร และมีความมืดหม่นในแบบที่ Disney ไม่ค่อยทำ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาค 2 ที่เข้มข้นถึงใจมากๆ) ส่งผลให้ใครที่ชอบ Animation อีกสายอย่างพวก Kung Fu Panda, The Croods ที่จัดหนักเรื่องความบันเทิงแล้ว ก็ต้องชอบเรื่องนี้อย่างแน่นอน
– สายหนังการ์ตูนอนิเมชั่น
– สายหนังอนิเมชั่นผจญภัย
– สายหนังจากนิยายเด็ก
รีวิว / สรุปเนื้อหา
ตัวหนังสร้างจาก หนังสือในชื่อเดียวกัน เลยทำให้มันมีฐานแฟนคลับที่รอลุ้นคุณภาพของอนิเมชั่นเรื่องนี้อยู่จำนวนหนึ่งอยู่แล้ว เละเมื่อมันออกฉายก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ในแง่ของคุณภาพ และยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยหัวใจจากต้นฉบับอย่างครบถ้วน จนนับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งอนิเมชั่นของยุคนี้เลยก็ว่าได้ ส่วนหนึ่งเพราะมันทำออกมาในรูปแบบที่เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี (กว่า) ที่มีทั้งฉากแอคชั่นสนุกๆ ไปจนถึงประเด็นของเรื่องราว ทั้งในการยอมรับความต่าง ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ-ลูกที่ทำออกมาได้ดี และไม่ค่อยมีฉากไหนที่ดึงโทนลงมาจนดูเป็นการ์ตูนสำหรับเด็กสักเท่าไร นอกจากในงานภาพที่สวยๆ และฉากแอคชั่นในแบบที่ไม่มีความรุนแรงก็เท่านั้น แต่ในส่วนของเนื้อหาโดยรวมแล้วนั้นดูค่อนข้างโตเลยทีเดียว
อีกส่วนที่ต้องชื่นชมก็คือทีมงานของหนังเรื่องนี้ทำ Model ตัวละครแต่ละตัวออกมาได้ดีทั้งในส่วนของคน และมังกร ที่มีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันมาก และสร้างความน่าจดจำลงไปในตัวละครได้เกือบทุกตัว รวมถึงการแสดงออกทางสีหน้าของตัวละครก็ถูก Animate ออกมาได้เป็นอย่างดี จนฟีลลิ่งเหมือนคนจริงๆ ด้วยซ้ำ ยิ่งพอไปประกอบกับเรื่องราวที่เข้มข้นของหนังแล้วนั้น เลยทำให้มันดูมีความสมจริง และดูมีความเป็นหนังมากกว่าที่จะเป็น Animation แบบทั่วๆ ไป จนอยากเห็นการดัดแปลงขึ้นมาเป็นหนังอยู่ไม่น้อยเลย
อีกทั้งการเล่าเรื่องหรือดำเนินเรื่องก็ค่อนข้างไว และใช้เวลาไม่นานในการเข้าเรื่องจนมีอะไรให้ได้สนุกชวนลุ้นอยู่ตลอด จังหวะการเล่าเรื่องก็มีจังหวะดึงอารมณ์ จังหวะผ่อนให้พัก ก่อนที่จะไปถึงในช่วงไคลแม็กซ์ที่ลากคนดูไปถึงจุดพีคได้ดีเหลือเกิน จนทำให้หนังออกมามีบทสรุปที่ลงตัวเอามากและไม่ได้โลกสวยจนเกินไป สมใจคนดูวัยเกินเด็กอยู่มาก และหากนับว่ามันเป็นภาคปฐมบทด้วยแล้ว ก็ถือว่าเป็นการปูเรื่องที่ดี ให้เราได้เข้าใจพื้นฐานตัวละคร และความสัมพันธ์ระหว่าง ฮิคคัพ กับ เขี่้ยวกุด ได้เป็นอย่างดี ก่อนที่จะนำไปสู่จุดที่พีคกว่านี้ในอนาคตอย่างภาคที่สองได้อย่างน่าจดจำ
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- หนังได้รางวัล “ภาพยนตร์อนิเมชั่นยอดเยี่ยม” จากสำนักลูกโลกทองคำ แถมยังมีโอกาสถูกเสนอชื่อเข้าชิง Oscar ด้วย ใน 2 สาขาทั้ง Best Animated Feature Film of the Year และ Best Achievement in Music Written for Motion Pictures, Original Score แต่ก็ชวดไปให้กับ Toy Story 3 ที่ทำออกมาได้ดีมากจริงๆ
- ด้วยรายได้ที่สูงถึงเกือบ 500 ล้านเหรียญทั่วโลกทำให้หนังออกมาอีก 2 ภาค เพื่อให้ครบไตรภาคตามที่ตั้งใจเอาไว้