Gravity (2015)

มฤตยูแรงโน้มถ่วง

Gravity Poster
9/10

คะแนน
โกดังหนัง

สู่ความเวิ้งว้างอันไกลพ้น เหมาะกับการเสพงานศิลป์ในอวกาศชั้นดี ไปพร้อมกับความลุ้นระทึกท่ามกลางความเงียบที่ชวนอึดอัดจนแทบลืมหายใจ

หมวดหมู่ : Drama Sci-Fi Thriller
สัญชาติ : American
กำกับโดย : Alfonso Cuarón
ความยาว : 1 ชั่วโมง 31 นาที
นักแสดงนำ : Sandra Bullock, George Clooney, Ed Harris

คำคมจากภาพยนตร์

“You’ve got to learn to let go.”
“คุณต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยวางบ้างนะ”

เรื่องย่อ

ดร. ไรอัน สโตน วิศวกรทางการแพทย์ ได้เข้าร่วมภารกิจกระสวยอวกาศ ภายใต้การบัญชาการของ แมตต์ โคววาลสกี้ นักบินอวกาศมากประสบการณ์ที่มาทำภารกิจนี้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะตัดสินใจเกษียณ ในระหว่างที่ แมตต์ นั้นออกมาซ่อมบำรุงบำรุงยานอยู่นั้น ก็เกิดเหตุไม่คาดคิด เมื่อขยะอวกาศลอยอัดเข้ามาใส่กระสวยของพวกเขา จนทำให้พวกเขาท้องคู่ต้องอยู่ในสภาวะล่องลอยในอวกาศอย่างเคว้งคว้าง ไร้สิ่งใดๆ ให้ยึดเหนี่ยวนอกจากความว่างเปล่า และความมืดมิดในอวกาศเท่านั้น

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ Gravity น่าจะโดนใจเป็นอย่างมากสำหรับคอหนังอวกาศแบบจ๋าๆ ที่ไม่ต้องมีมนุษย์ต่างดาวหรืออะไรมาแจม เพราะเรื่องนี้ทำออกมาดูมีความสมจริงเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะมีเจ้าหน้าที่ในด้านอวกาศบอกว่ามีหลายส่วนที่เป็นไปได้ก็ตาม แต่บรรยากาศทั้งงานด้านภาพ และเสียงที่เงียบในอวกาศก็ชวนให้เรารู้สึกแบบนั้นได้อยู่ตลอดทั้งเรื่อง รวมถึงพล็อตเรื่องที่ดูง่าย แต่ก็สร้างความชวนลุ้นและเอาใจช่วยตัวละครให้ผ่านพ้นจากสถานการณ์เสี่ยงตาย จนใครที่ชอบหนังอวกาศแนวจริงจังผสมโทนดราม่าหน่อยๆ อย่าง The Martian หรือ First Man แล้ว ขอเชียร์หนังขึ้นหิ้งอย่าง Gravity เข้าไปอีกสักเรื่องด้วย

  • สายหนังอวกาศแบบสมจริง
  • สายหนังอวกาศดราม่า
  • สายหนังชิงรางวัล

 

รีวิว / สรุปเนื้อหา

อีกหนังอวกาศที่เป็นที่รักของหลายๆ คนเมื่อมันเข้าฉายปีในปีนั้น จากการกำกับของผู้กำกับที่มากฝีมืออย่าง Alfonso Cuarón ก็สร้างสรรค์ให้ฉากในอวกาศของหนังเรื่องนี้กลายเป็นเหมือนดินแดนอันมืดมิดที่สุดแสนจะน่ากลัวจนทำให้เราสามารถเข้าใจสภาวะที่ตัวละครเผชิญได้เป็นอย่างมาก แต่ในความน่ากลัวนั้นมันก็มีความสวยงามในแบบนิ่งๆ เงียบๆ อยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการแพนกล้องเพื่อดูโลก จากมุมของอวกาศที่ทำออกมาได้สวยจนลืมหายใจ ยิ่งเมื่อนำไปประกอบกับความเงียบ ที่หนังใช้เป็นอาวุธสำคัญแล้ว ก็ยิ่งให้ความรู้สึกเหมือนพาคนดูไปท่องอวกาศอยู่ไม่น้อยเลย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการใช้ฉากลองเทคต่างๆ ที่ดูต่อเนื่อง ลื่นไหล และชวนทึ่งว่าทีมสร้างทำออกมาได้อย่างไร ก็ชวนเอาอ้าปากค้างอยู่เหมือนกัน ในช่วงเวลา 90 นาทีของหนังคือความพอดีลงตัวเป็นอย่างยิ่ง นับตั้งแต่ฉากแรกไปจนถึงฉากสุดท้าย ก็มีอะไรให้ติดตามอยู่ตลอด คือต่อให้ไม่มีอะไรก็ยังสามารถเสพภาพสวยๆ ได้อย่างฟินๆ แม้ว่าตัวพล็อตจะมีแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องหลุดลอยไปในอวกาศอย่างลำพัง แต่หนังก็ยังพยายามแต่งเสริมเติมสถานการณ์มาให้กับคนดูได้เป็นอย่างดี ทั้งฉากชวนลุ้นระทึก หรือไปจนถึงฉากดราม่าต่างๆ ก็ผสมผสานเข้ามาในหนังให้มีอะไรได้ร่วมลุ้นตลอดทั้งเรื่อง ประกอบกับต้องตีความสัญลักษณ์ในหนังบางอย่างเข้าไปด้วย

ในส่วนของดาราก็เรียกว่าเชื่อใจได้ เพราะได้คู่พระนางทั้ง Sandra Bullock และ George Clooney ก็เรียกได้ว่าเป็นดาราระดับ A List แถวหน้าทั้งคู่ แม้ว่าฉากที่ต้องเหลือ Sandra Bullock โดยลำพัง เธอก็สามารถแบกรับหนังเรื่องนี้เอาไว้จากการแสดงที่โดดเด่น จนเราต้องเอาใจช่วยให้เธอรอดชีวิตไปได้จากสถานการณ์อันน่าสิ้นหวังเช่นนี้ ด้วยทุกองค์ประกอบชั้นเยี่ยมที่ว่ามาทั้งหมด ก็พาเอาหนังไปคว้ารางวัลออสการ์ในสาขาที่เกี่ยวกับ CG ภาพและเสียงกลับมาได้เต็มมือถึง 7 รางวัล จากการเข้าชิงถึง 10 รางวัล จนเรียกได้ว่าเป็นหนังที่เหมาะกับการเข้าไปเสพงานศิลป์งามๆ ในโลกอวกาศสักครั้งนึงในชีวิตเลยก็ว่าได้

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • ทุกๆ ฉากในหนังทั้งเรื่องใช้การถ่ายบน Green Screen ทั้งหมด ยกเว้นแค่เพียงในฉากจบของเรื่องเท่านั้น
  • ด้วยความที่หนังมีฉาก Long Take มากมาย ทำให้ดาราสาวอย่าง Sandra Bullock นั้น ต้องคอยจดจำท่วงท่าการเคลื่อนไหว และการขยับไปในแต่ละจุดอย่างต่อเนื่องมากๆ ซึ่งเป็นอีกความท้าทายเป็นอย่างยิ่ง เมื่อคิดว่าต้องใช้จินตนาการในการแสดงกับ Green Screen ด้วยแล้ว