Gone Girl (2014)
เล่นซ่อนหาย
คะแนน
โกดังหนัง
จากนิยายขายดีสู่ฉบับหนังที่ทำออกมาได้ละเมียดละไมใส่ใจในรายละเอียด
สะท้อนมุมมองชีวิตคู่ที่แตกสลาย จนนำไปสู่โศกนาฏกรรมสุดสลับซับซ้อน
คำคมจากภาพยนตร์
“When two people love each other and can’t make that work… that’s the real tragedy.” “เมื่อคนสองคนต่างรักกันแล้วและไม่สามารถประคองมันไว้ได้ นั่นแหละคือโศกนาฏกรรม”
เรื่องย่อ
นิค และ เอมี่ คู่สามี ภรรยา ที่ภายนอกใครๆ ก็เห็นว่าพวกเขารักกันดี จนกระทั่งเข้าสู่ในวันครบรอบวันแต่งงานในปีที่ 5 ของพวกเขา เอมี่ ก็กลับหายตัวไปจากบ้าน โดยที่เบาะแสและหลักฐานต่างๆ ที่มีก็ดันโยงมาถึงตัว นิค เอง จนทำให้บรรดาทั้งผู้สืบสวน และนักข่าวต่างก็สงสัยว่าเขาเป็นคนทำให้ภรรยาตัวเองหายไปหรือไม่
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Gone Girl นั้นเป็นหนังอีกเรื่องที่เชื่อว่าหลายๆ คนจะชอบในจริตของหนังมันมากๆ ที่อุดมไปด้วยการสืบสวน เสียดสีประเด็น ความสัมพันธ์ รวมไปถึงโทนตลกร้าย ที่สอดประสานกันอย่างชาญฉลาด จนทำให้มันออกมาเป็นหนังชั้นเยี่ยมที่สร้างจากนิยายชั้นดี เป็นอีกหนึ่งการดัดแปลงที่น่าชื่นชม และเชื่อว่าคอนิยายเรื่องนี้ก็น่าจะชอบในฉบับหนังได้ไม่แพ้กันจากความละเอียดละเมียดละไมของมัน รวมไปถึงฉากโหดๆ ที่ทำออกมาได้เห็นภาพมากๆ ใครที่ชอบหนังสืบสวนสไตล์ผู้หญิงแสบเป็นดารานำอย่าง A Simple Favor และ The Girl on the Train ก็ต้องมองเรื่อง Gone Girl ขึ้นหิ้งไว้เลย
- สายหนังสาวแสบสืบสวน
- สายหนังดัดแปลงจากนิยาย
- สายหนังพล็อตสับขาซับซ้อน
รีวิว / สรุปเนื้อหา
ในฐานะที่อ่านนิยายมาก่อนดูหนัง ก็สามารถบอกได้เต็มปากแหละว่าหนังทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว เพียงแต่ในมุมของการอ่านหนังสือของ Gillian Flynn นั้น กลับให้ประสบการณ์ที่ดีกว่า แม้ว่าเธอจะเป็นคนที่ลงมาเขียนบทให้กับหนังเรื่องนี้เองกับมือก็ตาม แต่ในความเป็นนิยายมันให้ความรู้สึกที่สับขาหลอกมากกว่านี้ จากสองมุมมองของตัวละคร ว่าเราเลือกจะเชื่อเรื่องราวที่ใครเล่ามากกว่ากัน และทำให้เราชวนสงสัยพฤติกรรมของทั้งสองคนโดยยังไม่สามารถตัดตัวเลือกออกไปได้ ว่าใครคือคนที่พูดจริง หรือโกหก เพราะมันมีการพลิกผันไปมาแทบจะทุกบทของตัวนิยายเลย
แต่ในฉบับหนังนั้น เรียกได้ว่าหนังเฉลย และเปิดตัวจอมบงการได้ค่อนข้างเร็ว คนดูจึงรู้ได้ตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วว่าใครเล่นใครกันแน่ โทนที่มีมันเลยค่อนข้างจะเปลี่ยนไปจากแนวสืบสวน ไปสู่แนวระทึกขวัญ ชิงไหวชิงพริบของสองตัวละครมากกว่า ว่าใครจะเป็นผู้ที่พลาดและเพลี่ยงพล้ำก่อนกัน แต่แม้ว่าความรู้สึกที่ได้จะต่างกัน ทั้งสองสื่อนี้ก็มอบความสนุกให้กับเราได้ทั้งคู่ เพราะตัวหนังเองก็ค่อนข้างซื่อตรงกับต้นฉบับมากๆ (แน่สิ คนเขียนนิยายกับเขียนบทเป็นคนเดียวกัน) และเก็บหัวใจสำคัญของหนังที่ว่าด้วยเรื่องความสัมพันธ์ของชีวิตคู่เอาไว้ได้อย่างครบถ้วน
นอกจากนี้ในการดำเนินเรื่องก็ทำออกมาได้สนุก มีการตัดช่วงเวลาสลับไปมา ทั้งในอดีตและปัจจุบันที่ทำให้เราได้เห็นถึง “เหตุ” และ “ผล” ของการกระทำแต่ละตัวละคร ที่มารองรับคาแรคเตอร์พวกเขาอย่างชัดเจน และเข้าใจสภาพจิตใจพวกเขาได้มากขึ้น จังหวะการดำเนินเรื่องก็มีการสับขาหลอก ชวนพลิกล็อคอยู่ตลอด พร้อมกับปมประเด็นที่ค่อยๆ ทิ้งเอาไว้รายทาง ไปพร้อมๆ กับการเฉลยปมอยู่เรื่อยๆ ก็เพิ่มความน่าติดตามมากขึ้น ประกอบกับการแสดงของ Rosamund Pike ก็รับบทนี้ได้น่ากลัวมากๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีคนที่หลงรักในจริตของตัวละครนี้ที่สร้างสีสันให้กับหนังได้เป็นอย่างดี จนนับว่าเป็นหนึ่งในตัวละครที่น่าจดจำในโลกนิยายและภาพยนตร์อีกคนเลย
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- Rosamund Pike ได้รับแรงบันดาลใจของบทบาทสุดจิตนี้มาจากบทสายดาร์คของ Nicole Kidman ใน To Die For และความยั่วนวนสุดแสบของ Sharon Stone ใน Basic Instict จนร่างของ Amy มาในเรื่องนี้ และทำได้ดีจนถึงขนาดได้เข้าชิงออสการ์สาขาดารานำหญิงยอดเยี่ยมด้วย
- แรกเริ่มเดิมทีสาวมากความสามารถในวงการอย่าง Reese Witherspoon ได้ลิขสิทธิของหนังมาจากนักเขียนอย่าง Gillian Flynn มาตั้งแต่ปี 2012 แล้ว และกะว่าจะเป็น Producer เอง เล่นบท Amy เอง แต่พอเธอได้เจอกับ David Fincher พร้อมกับวิสัยทัศน์ของเขากับหนังเรื่องนี้แล้ว เธอก็ตระหนักได้ทันทีว่าเธอไม่น่าใช่คนที่จะมาเล่นเป็น Amy ได้เลย