Edge of Tomorrow (2014)
ซูปเปอร์นักรบดับทัพอสูร
คะแนน
โกดังหนัง
หนังแอคชั่นมนุษย์ต่างดาว ที่หยิบเอาคอนเซปการวนลูปมาใช้ได้สนุก
แม้ว่าจะไม่ดาร์คเท่าต้นฉบับมังงะของญี่ปุ่น แต่ก็มันส์จัดเต็มสไตล์ฮอลลีวู้ดดี
คำคมจากภาพยนตร์
“Remember, there is no courage without fear.” “จำเอาไว้ว่า ไม่มีความกล้าใดที่ไม่มีความกลัวในนั้น”
เรื่องย่อ
ในโลกอนาคตอันใกล้นั้น มีเอเลี่ยนเข้ามาบุกโจมตีโลก จนไม่ว่ามนุษย์จะสู้อย่างไร ก็ดูท่าจะไม่มีหวังที่จะชนะได้ จนกระทั่ง เคจ เจ้าหน้าที่ฝ่ายประชาสัมพันธ์ในกองทัพคนหนึ่งที่ไม่เคยมีประสบการณ์สู้รบมาก่อน เมื่อลงไปในสมรภูมินั้น เขาจึงตายไปพร้อมกับต่างดาวตัวหนึ่งภายในเวลาไม่ถึง 5 นาที แต่แล้วเมื่อเขาตื่นขึ้นมา เขาก็พบว่าตัวเองได้รับโอกาสอีกครั้งในการต่อสู้ และได้สั่งสมประสบการณ์ใหม่ในทุกครั้งในการต่อสู้และตายวนเวียนอยู่อย่างนั้น เพื่อที่จะกอบกู้โลกให้ได้
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Edge of Tomorrow นั้น ก็เป็นหนังอีกเรื่องสำหรับคนที่ชอบหนังสงครามระหว่างมนุษย์กับต่างดาว ที่เพิ่มกิมมิคของการวนลูปเข้าไปในเรื่องราว เพื่อให้มีความสดใหม่และแปลกใหม่กับหนังมากขึ้น ด้วยฉากแอคชั่นที่เล่นใหญ่ และมันส์ไปกับการค่อยๆ พัฒนาตัวเองของตัวเอกนั้น ก็เป็นอะไรที่ชวนติดตามอยู่ไม่น้อย แต่ด้วยความที่หนังทำออกมาสำหรับทุกเพศ ทุกวัยด้วยเรท G นั้น ก็อาจทำให้หลายคนที่ต้องการฉากแอคชั่นที่ดุเดือดเลือดพล่านกว่านีี้ ก็อาจจะไม่ถึงใจกันสักเท่าไร แต่หนังก็มีสเกลแอคชั่นใหญ่ๆ พร้อมอุปกรณ์แบบจัดเต็มเข้ามาชดเชยแทน ถ้าคุณชอบหนังแอคชั่น ไซไฟ วนลูปแบบ Source Code, Looper อะไรพวกนี้แล้ว อยากให้ลิ้มลองเรื่องนี้กันดู
- สายหนังแอคชั่นวนลูป
- สายหนังไซไฟวนลูป
- สายหนังสงครามต่างดาว
รีวิว / สรุปเนื้อหา
หากพูดถึงหนังวนลูปแล้ว แน่นอนว่าก็ไม่ใช่เรื่องราวอะไรที่แปลกใหม่ เพราะมีต้นฉบับอย่าง The Groundhog Day ทำเอาไว้มานมนานแล้ว เพียงแต่ความโดดเด่นของ Edge of Tomorrow นั้น ก็มาจากตัวต้นฉบับของญี่ปุ่นเอง ที่หยิบเอาการวนลูปมาใช้กับหนังที่เป็นสงครามระหว่างมนุษย์และต่างดาว ที่เข้ากันได้เป็นอย่างดี ซึ่งแม้ว่าในตัวต้นฉบับจะโดดเด่นในเรื่องของความมืิดหม่นในเรื่องราวมากกว่า แต่ก็ต้องชื่นชมว่าผู้กำกับ Doug Liman นั้น สามารถหยิบเรื่องราวมาทำให้เป็นในรูปแบบฮอลลีวู้ดได้อย่างลงตัว และมีเนื้อหาที่อินเตอร์อยู่มาก
ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะการเลือกใช้ดาราที่โด่งดังอย่าง Tom Cruise และ Emily Blunt เพื่อให้เป็นตัวดันหนังให้มีความ Epic และมีความเป็น Blockbuster มากยิ่งขึ้น รวมถึงการสรรค์สร้างฉากที่ยิ่งใหญ่ในสงครามก็ล้วนแล้วแต่ทำออกมาได้ชวนตื่นตาตื่นใจอยู่ไม่น้อย (เพราะลงทุนไปตั้ง 178 ล้านเหรียญ) แม้ว่าจุดอ่อนของหนังวนลูปทั่วๆ ไป คือเราต้องทนดูฉากซ้ำไปซ้ำมาในหลายๆ ส่วนที่เราก็รู้อยู่แล้ว แต่ผู้กำกับก็ดูเหมือนจะรู้วิธีการบิดเรื่องราว และเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างที่มีผลต่อเนื้อเรื่องลงไปในการวนลูปแต่ละครั้ง จนทำให้ในลูปของตัวเอกก็ดูมีอะไรที่ใหม่ และมีการพัฒนาของตัวละครตามมาอยู่เสมอ จนสิ่งที่ดูเหมือนจะซ้ำ ก็ค่อยๆ ขยับเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอยู่ตลอดเหมือนกัน จนยากที่จะรู้สึกเบื่อไปกับมันได้
ในส่วนของฉากแอคชั่นก็ค่อนข้างสร้างสรรค์ ด้วยการออกแบบชุด อาวุธหรืออะไรต่างๆ ก็ช่วยเสริมในฉากแอคชั่นได้ดี ในส่วนของ Tom Cruise นั้นก็ทำได้ตามมาตรฐานหนังแอคชั่นของเขา แต่ Emily Blunt นี่นับว่าเจิดจรัสและดูเฟิร์มมากๆ ในหนังเรื่องนี้ โดยเฉพาะกับฉากที่นอนเงยตัวของเธอ ที่กลายเป็นฉากจำไปแล้วในหนังเรื่องนี้ แม้ว่าหนังจะทำรายได้ในบ้านเกิดตัวเองไปแบบไม่สมน้ำสมเนื้อ แต่ก็ยังดีที่ตลาดทั่วโลกยังโอบรับหนังเรื่องนี้เอาไว้ จากต้นทุนที่สูงให้มีกำไรได้ จากกระแสบอกต่อถึงความสนุก และสร้างสรรค์ในเรื่องราว ที่ถึงอย่างไรก็นับเป็นหนังใหญ่ในสายตาของชาวโลกอยู่แล้ว จนใครที่ชอบหนังวนลูปแบบแอคชั่นคงต้องลองดูกันสักครั้ง
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- ต้นฉบับนิยาย All you need is kill ของ Hiroshi Sakurazaka นั้น ได้รับแรงบันดาลใจมากจากการเล่ยวิดีโอเกม ที่เวลาตายแล้วก็เกิดใหม่อยู่เรื่อยๆ จนกว่าที่จะหาวิธีที่จะเอาชนะไปถึงบอสใหญ่ของเกมได้
- Emily Blunt ถึงกับยอมรับว่าหลังจากที่ใส่ชุดหุ่นเหล็กนั่น เธอถึงกับน้ำตาร่วงกับความหนักของมันถึง 38 กิโลกรรม แถมเธอต้องแบกมันวิ่งไปวิ่งมาเป็นเวลา 5 เดือนเลย
- Tom Cruise เป็นคนออกไอเดียให้การตายของเคจแต่ละครั้ง เต็มไปด้วยความน่ากลัว และความตลกปะปนกันไป