Captain America Civil War (2016)
กัปตันอเมริกา: ศึกฮีโร่ระห่ำโลก
คะแนน
โกดังหนัง
เป็นงาน Marvel ที่สนุกมาก มีความแปลกใหม่ประเด็นการเล่าเรื่องการได้เห็นฮีโร่ไฟท์กันเองเป็นอะไรที่มันส์มาก สานต่อเรื่องราวขยายวงกว้างไปยังจักรวาลอื่นๆของ MCU ได้แบบไม่มีที่สิ้นสุด
คำคมจากภาพยนตร์
"Victory at the expense of the innocent is no victory at all."
"ชัยชนะ ที่สังเวยด้วยชีวิตของผู้บริสุทธิ์ ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็น ชัยชนะ"
เรื่องย่อ
สตีฟ โรเจอร์ส ได้นำทีมอเวนเจอร์สทีมใหม่ ในการเดินหน้าเพื่อปกป้องมนุษยชาติ หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยมีอเวนเจอร์สเข้าไปเกี่ยวข้องได้ส่งผลกระทบต่อเนื่อง ความกดดันทางการเมืองทำให้เกิดระบบตรวจสอบและพิจารณาการทำงานของทีมอเวนเจอร์ส ซึ่งสถานภาพที่เป็นอยู่ตอนนี้ได้ทำให้เกิดรอยร้าวในเหล่าอเวนเจอร์สในขณะที่พวกเขาก็ต้องปกป้องโลกจากวายร้ายผู้ชั่วช้าคนใหม่
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Captain America Civil War นั้น แน่นอนว่าก็ต้องเหมาะกับคนที่ดู Marvel เหล่า Avengers สานต่อเรื่องราวจากหนัง Avengers: Age of Ultron มาเพราะเป็นภาคต่อกันมาแบบโดยตรง หนังมันพาเราไปสำรวจเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นแล้วในจักรวาลนี้จากเรื่องอื่นๆ ทำให้เห็นมุมมองการเป็นฮีโร่ที่ยากลำบาก หนังใส่ฉากแอ็คชั่นประเด็นดราม่าความขัดแย้งที่ทำให้หนังคาดเดาอะไรไม่ได้ แถมยังมีแฟนเซอร์วิสให้ได้กรี๊ดได้อินกันอย่างแน่นอน ซึ่งหากใครที่ไม่ได้ตามดูมาโดยตลอดรับรองว่าน่าจะมีงงกันบ้าง แนะนำเลยว่าภาคสุดท้ายของตำนานมหากาพย์นี้ เหมาะสำหรับแฟนๆ Marvel Cinenmatic ตัวจริงกันอย่างแน่นอน
- สายหนังแอคชั่นซุปเปอร์ฮีโร่
- สายหนังแอคชั่นบล็อกบัสเตอร์
- สายหนังภาคต่อ
รีวิว / สรุปเนื้อหา
ในช่วงเวลาที่หนังฮีโร่ Marvel เฉิดฉายพวกเขาสร้างเนื้อหาหนังได้แบบไม่มีที่สิ้นสุด ช่วงพีคๆคือเฟส 3 นี่แหละที่ทำให้ไม่ว่าจะวางพล็อตวางโครงเรื่องอะไรใหม่ หนังทุกเรื่องดูกลมกลืนเป็นจักรวาลเดียกันไปหมด ถ้ามองย้อนกลับไปในช่วงปี 2016 Captain America: Civil War คือหนังฮีโร่ที่ทำออกมาได้ดีในแง่ของความบันเทิงความจัดจ้าน หนังไม่ได้มาแค่ฮีโร่สู้กันฟัดกันเอง แต่มันยังพูดถึงประเด็นการเมือง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่ดูจะแตกร้าวไม่เหมือนเดิม การมีทัศนคติที่แตกต่างกันสุดขั้วจนเกิดการแบ่งฝ่าย วายร้ายที่ฉลาดเป็นแค่คนธรรมดาไม่ต้องมีพลังพิเศษอะไรแต่ก็สามารถปั่นป่วนให้คนที่มีพลังพิเศษออกมาสู้ฆ่ากันได้โดยไม่สนใจสิ่งดีๆที่ร่วมกันกอบกู้โลกมา หนังมาในแบบที่ขึ้นถึงจุดสูงสุด อ่อนลงมาแล้วก็ทยายไปจนถึงบทสรุปตอนสุดท้าย ค่อนข้างชอบเป็น 2 ชั่วโมงครึ่งที่ไม่มีความรู้สึกเบื่อสานต่อเนื้อหาจากหนัง MCU เรื่องก่อนๆได้ดีมากๆ
หนังค่อยๆเปิดประเด็นให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของตัวละครเพื่อนแท้มิตรแท้ ที่ตัวละครเชื่อมั่นว่าเพื่อนตัวเองเนื้อแท้เป็นคนที่ดีไม่ได้เลวร้าย แต่เมื่อมีคนไม่ได้เชื่อมั่นแบบนั้น ก็จนปัญหาที่ Captain จะทำให้ใครเชื่อได้อีกต่อไป หนังภาคนี้เลยบอกให้เห็นว่าจริงๆแล้วตัวร้ายไม่ใช่คนที่กลุ่ม Avengers ไปปราบแบบที่ผ่านๆมา แต่วายร้ายตัวจริงก็คือพวกเขานี่แหละ เมื่อใช้กำลังไปสู้มันย่อมส่งผลกระทบคนบริสุทธิ์ต้องตาย ส่งผลมายังสถานะทางการเมืองในหลายๆประเทศที่ความเป็นฮีโร่เหมือนมีสิทธิ์พิเศษรุกล้ำเข้าประเทศอื่น จนผู้คนหวาดกลัว เราได้เห็นว่าหนังเรื่องนี้มีแตะประเด็นการเมือง Captain และ Tony เห็นต่างทำให้เราได้เห็นเลยว่า 2 ตัวละครนี้มี Impact กับมุมมองทัศนคติในการตัดสินใจคนเพื่อนๆฮีโร่คนอื่นๆ นอกจากมุมมองที่เห็นต่างจนกลายเป็นจุดแตกหัก เราได้เห็นการเปิดพื้นที่ตัวละครใหม่ในเวลานั้นเข้าสู่จักรวาล นั่นคือ Black Panther และ Spider Man และการได้ Ant-Man มาเสริมทีมอีกคน สนุกดีแหะฉากที่สนามบิน Berlin ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นฉากสู้กัน เพราะเบื้องหลังกว่าจะเกิดฉากนี้ได้ทีมงานเกิดข้อถกเถียงเยอะมากจะทำออกมาอย่างไรดี แต่บอกเลยว่าใครที่ดูฉากนี้ในโรงสนุกดี เพราะไม่มีใครคาดคิดว่า Avengers มาฟัดกันเองได้โคตรมันส์แบบนี้
บทหนังที่ถูกปรุงแต่งโดย Christopher Markus และ Stephen McFeely ทำให้หนังเรื่องนี้สนุกมากการกล้าหยิบประเด็นใหม่มุมมองใหม่มาใส่มาเล่าใหนังฮีโร่กลายเป็นว่ามีลูกเล่นที่ดีเกินคาด การกระจายบทหนังเปิดพื้นที่ความขัดแย้งตัวละคร Robert Downey Jr กลายเป็นนักแสดงคนสำคัญมาก การเป็น Tony Stark ฟาดฟันกับ Chris Evans ได้ถึงพริกถึงขิง หรือจะเป็นตัวละครสมทบรายอื่นที่ซัพพอร์ทเรื่องราวได้ดีทั้ง Scarlett Johansson, Anthony Mackie, Sebastian Stan, Jeremy Renner, Paul Rudd, Elizabeth Olsen, Don Cheadle รวมถึงไปเปิดตัว Spider Man ในจักรวาล MCU ได้น่าสนใจกับน้อง Tom Holland เคมีดูสนุกมันดูเข้ากันเข้ากันมากๆ ไม่แปลกใจเลยที่หนังต่อยอดผูกให้เห็นความสัมพันธ์ 2 ตัวละครนี้ นี่ยังไม่รวมถึงการเปิดตัว Black Panther Chadwick Boseman ถึงจะมาน้อยแต่มอบการแสดงที่นิ่งสุขุมนุ่มลึกมากๆ หนังเองไม่ได้จัดวางนักแสดงฮีโร่แบบพื้นๆ แต่เลือกซีนที่น่าจดจำ อีกคนที่ไม่พูดไม่ได้ก็คือ Daniel Brühl วายร้ายตัวแสบที่ทำให้ทุกอย่างวุ่นวายเพียงแค่ไม่กี่ฉาก ไม่แปลกใจที่เขาคือนักแสดงมากฝีมือจากเยอรมัน
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- Tom Holland แคสติ้งบท Peter Parker ร่วมกับ Chris Evans และ Robert Downey Jr. แล้วได้เล่นเรื่องนี้ทันที
- ฉากสนามบินที่ Berlin ไปถ่ายที่ Leipzig
- บทหนังดั้งเดิมไม่ได้มีฉากที่กลุ่มฮีโร่สู้กันเอง
- Chris Hemsworth นึกว่าตัวเองโดนเขี่ยออกจากจักรวาล MCU หลังไม่มีชื่อเล่นในเรื่องนี้
- หนัง Kingsman ภาคแรกทำให้ทีมงานต้องเปลี่ยนแปลงบทหนัง