Cafe Society (2016)
ณ ที่นั่นเรารักกัน
คะแนน
โกดังหนัง
เป็นหนังที่เพลิน ย่อยง่าย สะกิดต่อมให้เรากลับไปคิดถึงใครสักคน
ที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิต ดูโรแมนติกมันอบอวนไปด้วยบรรยากาศยุค 1930
คำคมจากภาพยนตร์
"Well you know .. time passes, Life moves on. People change." “เวลาผ่านไป ชีวิตต้องก้าวต่อ เราทุกคนล้วนเปลี่ยนแปลง”
เรื่องย่อ
ณ มหานครนิวยอร์ก ปี 1930 ชีวิตของบ๊อบบี้ ดอร์ฟแมนมีแต่ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ที่ชอบหาเรื่องทะเลาะ พี่ชายก็เป็นสมาชิกแก๊งสเตอร์และกิจการร้านเพชรพลอยของครอบครัวที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก เขาตั้งใจจะเปลี่ยนบรรยากาศซักครั้ง ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจแสวงโชคที่ฮอลลีวูดด้วยการทำงานรับใช้คุณลุงฟิล ผู้จัดการดารา แล้วที่นั่นเขาก็ตกหลุมรักหญิงสาวนางหนึ่งทั้งๆที่เธอมีแฟนหนุ่มอยู่แล้ว บ๊อบบี้จึงคงสถานะเพื่อนสนิทไว้ก่อน จนกระทั่งวันหนึ่งหญิงสาวคนนั้นไปเคาะประตูหน้าบ้านบ๊อบบี้และบอกเขาว่าเธอเลิกรากับแฟนหนุ่มคนนั้นแล้ว ชีวิตของเขาจึงพลิกผันสิ้นเชิง
หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร
สำหรับ Cafe Society กลายเป็นหนังรักที่ทำให้ผู้ชมหลงไหลไปกับมนต์เสน่ห์ของแวดวง Hollywood เมืองมายาโลกจอมปลอมที่ใครต่อใครใฝ่ฝันอยากจะมา เพื่อได้รับโอกาสในงานสายบันเทิง แต่เมื่อวานเส้นทางไม่ได้สวยหรูทั้งเรื่องงานและความรัก หนังกัดจิกเสียดสีสังคมมายาได้แบบมีชั้นเชิง แถมประเด็นความรักก็เล่นซะเจ็บปวดไม่เบา หนังเหมาะกับคนที่แอบรักแล้วก็เจ็บปวดที่เห็นคนที่เรารักไปกับคนอื่น โดยที่เราไม่มีสิทธิ์คิดหรือทำอะไรเลย บรรยากาศในหนังย้อนยุคได้ภาพที่งดงาม และเพลงประกอบที่มาทำให้เนื้อหาละมุนละไมไม่ดาร์คจนเกินไป
- สายหนังดราม่า
- สายหนังรักโรแมนติก
- สายหนังที่ชอบเนื้อหาย้อนยุค
รีวิว / สรุปเนื้อหา
นี่คือหนังรักที่ผมเรียกมันว่าหนังที่ทำให้เราเจ็บจนจุกอก เป็นความรักที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก และดันเป็นความรักที่มาไม่พร้อมกันในเรื่องจังหวะของเวลา มันจึงกลายเป็นรักต้องห้ามได้แค่แอบรัก ทำได้ดีเพียงแค่เพื่อน เพราะผู้หญิงที่หมายปองดันมีเจ้าของอยู่แล้ว หนังจึงเป็นรักที่ดูยังไงก็เป็นไปไม่ได้ ผ่านบทสนทนาของคน 2 คนที่มีวัยใกล้เคียงกันต่างฝ่ายก็เข้าใจกันและกัน โดยไม่ต้องมาพยายามเลยสักนิด บทสนทนาทำให้เราอินมาก หนังเลือกบรรยากาศได้เหมาะกับการเล่าเรื่อง มันทำให้เราหลงรักเหมือนโดนมนต์สะกด แบบที่เคยประทับใจมาเล่นจาก Midnight in Paris แต่สิ่งที่ปู่ Woddy Allen เสียดสีตั้งหากคือประเด็นใหญ่ที่ไม่แพ้ความรักของคู่พระนาง
สิ่งหนึ่งที่ Café Society สะท้อนออกมาคือเรื่องความรักที่ซับซ้อนทางความรู้สึก คนเราสร้างภาพให้คนมายอมรับเพื่อผลประโยชน์ หนังใช้นิวยอร์ก และ ฮอลลีวูด เป็นตัวเล่าเรื่องเพื่อให้เกิดความแตกต่าง เมือง 1 ดูเป็นที่อยู่ของคนธรรมดา มีรักโลภโกรธหลง ความรู้สึกที่แสดงออกไม่ได้ปั้นแต่ง แต่ในขณะที่ฮอลลีวูดเป็นเมืองของความโกหกหลอกลวง ตามสไตล์วงการมายา และความรู้สึกที่แสดงออกก็มักจะถูกปกปิด โดยเฉพาะกรณีชู้สาวที่เหมือนเป็นโรคระบาดในสังคมของหนังเรื่องนี้ และเป็นเหมือนระเบิดเวลาที่พร้อมขยี้ทุกความสัมพันธ์ ซึ่งบทหนังก็เอาล่อเอาเถิดกับวังวนชู้สาวจนคนดูถูกปั่นหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผสมปนเปทั้งหัวเราะกรามค้างและว้าเหว่ เดียวดายไม่ต่างจากความสัมพันธ์ของตัวละครในเรื่อง ซึ่งเคสของนางเอก ก็ต้องยอมถูกปกปิดจากสังคมในการปิดกั้นความรู้สึกมานานถึง 1 ปีเต็ม แถมยังผิดศีลธรรมอีกต่างหาก
นักแสดงนำ 2 คน Jesse Eisenberg และ Kristen Stewart แพรวพราวมาก อาจเพราะทั้งคู่สนิทชิดเชื้อกันอยู่แล้ว มันจึงง่ายที่จะหยิบเอาความรู้สึกรักที่เป็นไปไม่ได้มาแสดงให้อยู่บนความ หดหู่และยินดี ความสุขบนความทุกข์ ความขมขื่นอันกลมกล่อม การฝันหวานถึงสิ่งที่ตัวเองไม่มีวันได้ ความซับซ้อนย้อนแย้งทำนองนี้คือรายละเอียดที่ดึงดูดให้เรารักหนังเรื่องนี้ชะมัด และคงไม่มีใครทำออกมาได้ดีเท่าปู่วูดดี้ อัลเลน อีกแล้ว
เกร็ดจากหนังเรื่องนี้
- เดิมที Bruce Willis ต้องมาแสดงนำด้วย แต่ติดที่ว่าคิวไม่ว่างเลยมาเล่นไม่ได้
- หนังได้รับเลือกให้ฉายเปิดเทศกาลหนัง 2016 Cannes Film Festival
- Steve Carell ถูกเลือกให้มารับบทแทน Bruce Willis ก่อนหนังเปิดกล้องแค่ 1 สัปดาห์