Upside Down (2012)

นิยามรักปฏิวัติ 2 โลก

Upside Down Poster
7/10

คะแนน
โกดังหนัง

เรื่องราวของความรักที่อยากจะเอาชนะแรงโน้มถ่วง
หนังรักแฟนตาซีสร้างเงื่อนไข ที่ดูสนุกเพลิดเพลินได้ แม้ว่าจะยังไปไม่สุดสักทาง

หมวดหมู่ : Drama Fantasy Romantic
สัญชาติ : American
กำกับโดย : Juan Solanas
ความยาว : 1 ชั่วโมง 49 นาที
นักแสดงนำ : Jim Sturgess, Kirsten Dunst, Timothy Spall

คำคมจากภาพยนตร์

“What if love was stronger than gravity?.”
“ถ้าความรักดันมีพลังมากกว่าแรงโน้มถ่วงล่ะ”

เรื่องย่อ

อดัม และ อีเดน เด็กหนุ่ม และสาวน้อยจากโลกคนละด้าน ที่ได้พบกันโดยบังเอิญจากการแหกกฏของ อดัม จนทำให้ก่อเกิดเป็นความรัก แต่แล้วทั้งคู่ก็ต้องโดนจับให้แยกกัน เพราะความรักจากสองโลกนั้นกลายเป็นสิ่งต้องห้าม อีเดน เองก็ประสบอุบัติเหตุจากเหตุการณ์นั้นจนความจำเสื่อม ผ่านไป 10 ปี อดัม ได้มีโอกาสไปทำงานที่ ทรานเวิลด์ องค์กรที่ต้องทำงานร่วมกันระหว่างคนสองโลก เพื่อหวังจะได้พบกับ อีเดน อีกครั้ง และพยายามฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ให้รักครั้งนี้สมหวังให้ได้

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ Upside Down นั้น เหมาะกับคนที่มองหาหนังรักที่สร้างเงื่อนไขแปลกๆ มาเป็นอุปสรรคให้คนรักกันได้ยากขึ้น ผ่านเงื่อนไขต่างๆ เช่น ในเรื่องนี้ก็เป็นการสร้างโลกสองใบที่กลับด้านกัน ซึ่งหนังมีฉากตื่นตาตื่นใจชวนเพ้อฝันอยู่ไม่น้อย เลยคิดว่าคนที่ชอบหนังรักแฟนตาซีน่าจะสนุกไปกับหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยาก แต่ในทางกลับกันสำหรับที่มองหาหนังรักประเด็นเข้มข้น หรือไซไฟที่มีเรื่องปรัชญาชวนคิดแล้วสามารถมองผ่านไปได้เลยครับ เพราะสภาพหนังให้ความรู้สึกคล้ายๆ หนังเรื่อง In Time อยู่หน่อยๆ คือมีประเด็นที่ดี และกลับไม่ขยี้ให้ลึกกว่านี้

  • สายหนังรักพล็อตล้ำ
  • สายหนังรักมีอุปสรรค
  • สายหนังรักภาพสวยงาม

รีวิว / สรุปเนื้อหา

หนังรักพล็อตล้ำอีกเรื่อง ที่พยายามจะหากฏเกณฑ์ต่างๆ มาเป็นอุปสรรคทางความรักให้กับคนทั้งสอง อาจเพราะหนังรักเดิมๆ อาจจะซ้ำกันมาไปแล้ว หนังเลยนี้ก็เลยจัดแจงแยกสองโลกให้อยู่คนละทิศ คนละทางกลับด้านกันไปให้ความรักมันยากขึ้นไปอีก แต่แม้หนังจะมีพล็อตเรื่องที่ดูเป็นวิทยาศาสตร์ แต่เอาเข้าจริง ตัวหนังกลับเน้นโทนความเป็นแฟนตาซี มากกว่าว่าโทนไซไฟอยู่มาก เพราะทุกอย่างในหนังนั้น ยังไม่ได้มีประเด็นในแง่วิทยาศาสตร์มารองรับ หรือมีเนื้อหาอะไรที่ใช้ทฤษฎีมาให้คำตอบเท่าที่ควร ดังนั้นการมองหนังเรื่องนี้เป็นในเรื่องราวชวนเพ้อฝันน่าจะเหมาะสมมากกว่า

จริงๆ แล้วตัวโลกทั้ง 2 ก็เป็นอุปสรรคพอที่จะให้คนรักกันได้แล้ว เพราะแรงโน้มถ่วงในเรื่องมันจะคอยดึงคนจากโลกตัวเองกลับไปอยู่เสมอ แต่หนังก็ยังเพิ่มในเรื่องของกฏเกณฑ์ กฏระเบียบต่างๆ ของการพบปะ การใกล้ชิด ที่กลายเป็นเรื่องต้องห้าม ให้เป็นอุปสรรคมากขึ้นไปอีก ซึ่งในส่วนนี้ก็สามารถทำให้คนดูร่วมลุ้นไปกับความรักของทั้งคู่ได้อยู่ไม่น้อย กับการลักลอบพบปะกันของคู่พระ-นางในฉากต่างๆ และหนังมีคำโปรยเสมือนเป็นโจทย์ที่น่าสนใจว่า ความรักของพวกเขานั้น จะชนะแรงดึงดูดได้หรือไม่ 

ในพาร์ทความรัก หนังก็ไม่ได้ไปสุดเท่าไรนัก ด้วยเคมีที่ยังไม่เข้ากันเท่าที่ควร และบทพูดถึงเรื่องความรักของทั้งคู่ก็ดูแห้งแล้งอยู่ไม่น้อย จนเรียกได้ว่าใช้ดารามาได้ยังไม่ค่อยคุ้มค่าสักเท่าไรนัก เมื่อเทียบกับหนังอื่นๆ ที่มีประเด็นเข้มข้นให้พวกเขาปล่อยของได้มากกว่านี้ แต่ทั้งนี้หนังก็ยังชดเชยด้วยงานภาพสวยๆ ของทั้งสองโลกที่ดูแตกต่างกัน จนเป็นงานอาร์ทที่ดูเพลินตาดีอยู่ตลอดเรื่อง ประกอบกับด้วยความที่เป็นหนังไฮคอนเซป ที่ค่อนข้างมีอะไรแปลกใหม่ในเรื่องราวก็พอดึงความสนใจจากคนดูได้อยู่ไม่น้อย ก็ถือว่าเป็นหนังอีกเรื่องที่ดูได้พอผ่านหากไม่คิดอะไรมาได้อยู่เหมือนกัน

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • หนังเรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากภาพในความฝันของผู้กำกับเอง
  • หนังได้ทิ้งปริศนาเอาไว้ 1 อย่าง นั่นก็คือเพลง “Falling Down” ในตอน End Credits ที่ตัวหนังไม่ได้ให้รายละเอียดอะไรถึงเพลงนี้เอาไว้แม้แต่น้อย ทั้งคนร้อง วง หรือข้อมูลต่างๆ มาจนถึงทุกวันนี้