Whiplash (2014)

ตีให้ลั่น เพราะฝันยังไม่จบ

Whiplash Poster
10/10

คะแนน
โกดังหนัง

หนังดราม่าดนตรีที่สาดกระสุนกันเข้มข้นอย่างกับหนังแอคชั่น ไต่ระดับความพีคไปจนถึงขั้นสุดจนต้องปรบมือให้ ไม่ต้องฟังแจ๊สก็สนุกไปกับหนังได้

หมวดหมู่ : Drama Music
สัญชาติ : American
กำกับโดย : Damien Chazelle
ความยาว : 1 ชั่วโมง 46 นาที
นักแสดงนำ : Miles Teller, J.K. Simmons, Melissa Benoist

คำคมจากภาพยนตร์

“There are no two words in the English language more harmful than "good job.”
“ไม่มี 2 คำไหนในภาษาอังกฤษ ที่อันตรายเท่าคำว่า ทำได้ดีแล้ว”

เรื่องย่อ

แอนดรูว์ มือกลองวัยรุ่นที่มีความฝันอยากจะเป็นมือกลองระดับโลก จนได้มีโอกาสเข้าร่วมเรียนกับ เทอเรนซ์ เฟลชเชอร์ ครูสอนดนตรีขั้นเทพที่มีวิธีการสอนแบบสุดโต่ง ด้วยความที่ เทอเรนซ์ เองก็เห็นพรสวรรค์ในตัวของ แอนดรูว์ จึงหวังที่จะปั้นเขาให้ขึ้นเป็นที่ 1 แต่ด้วยวิธีการสอนของ เทอเรนซ์ ที่ต้องการความสมบูรณ์แบบจนเกินไป จนทำให้การสอนที่เข้มข้นเช่นนี้ก็เหมือนจะเป็นการทำลายตัวตนของ แอนดรูว์ แทน

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ Whiplash เปรียบเสมือนความบันเทิงชั้นเยี่ยมสำหรับคนที่ชอบหนังดราม่าสไตล์เข้มข้น ตรึงเครียด เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขีดสุดที่ปล่อยออกมาทางดนตรี ถึงไม่จำเป็นต้องอาศัยความรู้เรื่องดนตรีแจ๊สมา ก็สามารถสนุกไปกับภาษาสากลอย่างดนตรีได้อย่างเต็มที่ และมันพาคนดูไปถึงจุดพีคสุดๆ เท่าที่หนังเรื่องนึงจะมอบให้ได้เลย ยิ่งถ้าเป็นคนที่ชอบดนตรีสไตล์แจ๊สอยู่แล้วด้วย ก็น่าจะยิ่งฟินสุดกันเข้าไปใหญ่ ส่วนตัวไม่รู้จะหาหนังเรื่องไหนมาโยงให้เป็นแนวเดียวกัน แต่เอาเป็นว่าถ้าชอบผู้กำกับ Damien Chazelle จาก LalaLand ให้มองว่าหนังเรื่องนี้คือดนตรีขั้วตรงข้ามเอาแล้วกัน คืองานคุณภาพเหมือนกัน แต่โทนเรื่องนั้นเดือดกว่ากันเยอะ

  • สายหนังรางวัลคุณภาพ
  • สายหนังดราม่าดนตรี
  • สายหนังดราม่าเข้มข้น

รีวิว / สรุปเนื้อหา

ไม่บ่อยนักที่เราจะเห็นหนังแนวดนตรี + Coming-of-Ages ที่ดุเดือดเลือดพล่านได้ขนาดนี้ เพราะแทนที่คนดูจะได้มีโอกาสไปผ่อนคลายกับเสียงดนตรีในเรื่อง แต่กลับกลายเป็นว่าทุกฉากที่มีการเล่นดนตรีของตัวละครนั้น กลับกลายเป็นความตึงเครียดจากความกดดันแทน เพราะตลอดการพัฒนาฝีมือของ แอนดรูว์ นั้น เต็มไปด้วยความเข้มข้น ดุเดือด เลือดพล่าน เสมือนว่าการเล่นดนตรีในแต่ละครั้งจะต้องแลกมาด้วยจิตวิญญาณและชีวิตของเขา อีกทั้งการแสดงของ เจเค ซิมมอนส์ ในบทครูฝึกสุดโหดนั้น ก็ทรงพลังถึงขนาดที่คนดูอย่างเราๆ เองกลับรู้สึกกลัวไปกับพลังงานที่แผ่ออกมาจากจอได้เลย

ในมุมของดนตรีในเรื่องนั้น ถูกสร้างสรรค์มาได้อย่างดี มีจังหวะจะโคนที่ช่วยเร้าอารมณ์ให้กับคนดูได้เป็นอย่างมาก ทุกจังหวะการตีกลองนั้น เลยเปรียบเสมือนการสาดกระสุนสุดบ้าคลั่งประหนึ่งหนังแอคชั่นสงคราม ที่เต็มไปด้วยความรุนแรงและความวุ่นวายเสียเหลือเกิน และพอใส่การแสดงที่เข้าคู่กันของ Miles Teller และ J.K. Simmons ก็ล้วนสาดพลังใส่กันแบบไม่มียั้ง ไม่มีใครยอมใคร ประกอบกับปัญหาชีวิตที่รุมเร้าของตัวละครอย่าง แอนดรูวส์ เองก็เพิ่มดีกรีให้กับความเครียดได้อย่างเต็มที่ จนทำให้ตัวหนังไต่ระดับทวีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ไปจนถึงความพีคในฉากสุดท้าย

สุดท้ายไม่ว่าคนดูจะเห็นด้วยกับแนวทางการสอนของ เทอเรนซ์ หรือไม่ก็ตาม เพราะหนังก็ไม่ได้ให้คำตอบที่ถูกต้องสำหรับคนดูตรงๆ นอกจากเคสที่อดีตลูกศิษย์คนหนึ่งของ เทอเรนซ์ ก็เคยเสียชีวิตจากการสอนแบบนี้มาแล้ว แต่ในทางเดียวกันในฉากสุดท้าย เราก็ได้เห็นศักยภาพของ แอนดรูว์ ที่ถูกดึงออกมาจนสุด จนทำเอาคนดูแทบลืมหายใจ และไต่ไปถึงจุดที่พีคที่สุดเท่าที่หนังจะทำได้ และจบลงด้วยการยืนปรบมือของคนในโรงภาพยนตร์ในรอบที่ไปดูอย่างเนืองแน่น เพราะเข้าใจได้เลยว่าทุกคนในโรงตอนนั้นน่าจะรู้สึกฟินไปในทางเดียวกันมากๆ นับเป็นอีกหนึ่งในหนังดนตรีที่เข้มข้นที่สุดในชีวิตแล้ว

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • ในฉากที่ตัวเอกต้องฝึกซ้อมตีกลองหนักขึ้นเรื่อยๆ นั้น ผู้กำกับก็ไม่ได้สั่งคัทสักที ดาราอย่าง Miles Teller ก็ซัดกลองไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดแรงไปเอง
  • หนังเรื่องนี้ใช้เวลาถ่ายทำแค่เพียง 19 วันเท่านั้น
  • การที่ฉากตีกลองในเรื่องสมจริงมากขนาดนี้ ก็เพราะ Miles Teller นั้นตีกลองมาตั้งแต่อายุ 15 พวกรอยบาดแผลที่มือก็มาจากการตีจริงๆ ทั้งนั้น
  • J.K. Simmons ในบทครูฝึกสอนสุดโหดกวาดรางวัลมาได้ถึง 47 รางวัลจากบทนี้บทเดียว