เรื่องย่อ

ในช่วงปี 1993 นั้น กองทัพสหรัฐ ได้ส่งกองกำลังพิเศษเข้าไปโซมาเลีย เพื่อทำภารกิจส่งเสบียงอาหารและสิ่งของบรรเทาทุกข์เพื่อช่วยเหลือคนยากไร้จากภัยสงครามกลางเมืองระหว่างฝ่ายรัฐบาลชั่วคราวกับกองกำลังติดอาวุธอิสลามหัวรุนแรง โดยมีเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์แบบ Black Hawk เข้าไปคุ้มกันหน่วยลำเลียง พร้อมกับทำภารกิจจับตัวบุคคลสำคัญ 2 รายเพื่อคืนความสงบให้กับประเทศ แต่แล้วก็เกิดการปะทะแบบไม่คาดคิด เมื่อ Black Hawk ที่ถูกส่งเข้าไปกลับโดนสอยร่วงลงมาจากกองกำลังของทางโซมาเลีย ส่งผลให้บรรดาทหารที่มาทำภารกิจนี้ ต่างต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดจากกองกำลังติดอาวุธสุดโหดเหล่านี้

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ Black Hawk Down ในฐานะหนังสงครามที่เดือดที่สุดตลอดกาลจากผู้กำกับมือดีอย่าง Ridley Scott แล้วนั้น เหมาะสมอย่างยิ่งกับคอหนังสงครามยุคใหม่ ที่ชอบเห็นอเมริกันไปเผือกในประเทศต่างๆ (และมักลงเอยด้วยความสูญเสีย) พร้อมกับความมันส์ในระดับเต็มพิกัด เข้มข้นระดับ Rate R ด้วยการทำเสียงระดับเทพ และดีงามจนมีชื่อเข้าชิงออสการ์ และคว้ารางวัลติดมือกลับมาได้ เดือดขนาดนี้จะไม่ดูได้ยังไง ยิ่งถ้าชอบหนังการเอาชีวิตรอดในสงคราม ที่สะท้อนถึงความโหดร้ายแบบ Lone Survivor หรือ American Sniper แล้ว นี่คืออีกหนังสงครามชั้นดีที่ต้องดูจริงๆ

• สายหนังสงครามสุดระห่ำ
• สายหนังเอาชีวิตรอดในสมรภูมิ
• สายหนังสงครามยุคใหม่ 

รีวิว / สรุปเนื้อหา

“We got the Black Hawk Down” ประโยคจากฉากหนึ่งในหนังที่บ่งบอกถึงที่มาของชื่อเรื่องได้เป็นอย่างดี เมื่อเครื่อง Black Hawk ถูกสอยร่วง และเป็นจุดเริ่มต้นของการเอาชีวิตรอดของบรรดาทหารอเมริกันที่ติดอยู่ในเขตแดนของศัตรู จนต้องเอาชีวิตรอดหาทางกลับบ้าน ซึ่งเมื่อหนังมาอยู่ในมือผู้กำกับมือดีอย่าง Ridley Scott ก็แน่นอนว่าเป็นอะไรที่ไว้ใจได้ และมั่นใจในคุณภาพได้ค่อนข้างดี ซึ่งหนังเรื่องนี้ก็เป็นเช่นนั้น เพราะเบื้องหลังการถ่ายทำนั้น ก็ต้องอาศัยทหารในหน่วยที่เกี่ยวข้องมาช่วยเป็นที่ปรึกษา รวมถึงการปั้นดาราแต่ละคนให้ดูออกมาเหมือนทหารจริงๆ ทั้งท่วงท่า และยุทธวิธีในการรบ ทำให้เรามั่นใจในความสมจริงกันได้เลย

แม้ว่าหนังอเมริกันส่วนมากจะชอบเน้นไปที่ความเป็นอเมริกันชาตินิยมแบบจ๋าๆ แต่เรื่องนี้ก็ลดระดับในส่วนนั้นลงมาอยู่บ้าง เพราะจริงๆ แล้ว หากพูดกันตรงๆ นี่ก็เป็นอีกภารกิจที่ล้มเหลว และเต็มไปด้วยความสูญเสียเป็นจำนวนมาก แต่ตัวหนังก็ยังปรับความรู้สึกให้คนดูมองว่าพวกเขาเป็นฮีโร่อย่างแท้จริงได้อยู่ดี โดยเก็บบรรดารายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อย่างการช่วยเหลือผู้คนในเมืองจากสงครามอันโหดร้าย รวมไปถึงมิตรภาพของบรรดาทหารที่เกิดขึ้น ก็ทำให้เรารู้สึกผูกพันกับตัวละครและเอาใจช่วยพวกเขาให้มีโอกาสรอดชึวิตไปกับสถานการณ์นี้ได้มากขึ้น

นอกจากในแง่ที่หนังต้องการเชิดชูบรรดาผู้คนในประวัติศาสตร์แล้ว ตัวหนังยังทำฉากแอคชั่นออกมาได้ถึงใจเท่าที่หนังสงครามเรื่องหนึ่งจะจัดให้กับเราได้ ทั้งงานภาพที่ให้ความรู้สึกอันตราย และมีความรุนแรงเสี่ยงตายตลอดเวลา การตัดต่อสุดระทึกทั้งหน่วยปฏิบัติการ และการวางแผนจากในห้อง ก็ล้วนเร้าอารมณ์ตื่นเต้นได้เป็นอย่างดี ไปจนถึงงานเสียงชั้นเยี่ยม ที่ช่วงหนึ่ง Black Hawk Down ก็กลายเป็นหนังที่ถูกเอาไปใช้ทดลองตามร้านเครื่องเสียงได้เป็นอย่างดี เพราะเหตุความกระหึ่มเข้มถึงใจนั่นเอง จนทำให้นี่คือหนังสงครามในแบบที่ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงเยอะ แล้วจัดหนักกันแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยได้อย่างถึงใจเลยจริงๆ