Back to the Future (1985)

เจาะเวลาหาอดีต

Back to the Future Poster
10/10

คะแนน
โกดังหนัง

หนึ่งในหนังย้อนเวลาที่ดีที่สุด เต็มเปี่ยมไปด้วยจินตนาการ มอบความบันเทิงให้แบบเต็มสูบ จนรู้สึกอิ่มเอมใจหลังดูจบ

หมวดหมู่ : Adventure Comedy Sci-Fi
สัญชาติ : American
กำกับโดย : Robert Zemeckis
ความยาว : 1 ชั่วโมง 56 นาที
นักแสดงนำ : Michael J. Fox, Christopher Lloyd, Lea Thompson

คำคมจากภาพยนตร์

“If you put your mind to it, you can accomplish anything.”
“ถ้าคุณใส่ใจในการทำสิ่งใดแล้ว ไม่ว่าอะไรก็สำเร็จได้ทั้งนั้น”

เรื่องย่อ

มาร์ตี้ แม็กฟลาย เด็กวัยรุ่นที่มีเพื่อนเป็นนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง เอ็มเม็ตต์ บราวน์ ซึ่งวันนึง บราวน์ ก็ได้สร้างไทม์แมชชีนขึ้นมาได้สำเร็จ จนเกิดเหตุการณ์ชลมุนทำให้ แม็กฟลาย นั้นจับพลัดผลูเข้าไปมีส่วนร่วมในการย้อนเวลาจากปี 1985 ไปยังปี 1955 จนได้พบกับพ่อ แม่ของตัวเองในช่วงวัยไฮสคูล แต่แล้วความวุ่นวายก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อเขาดันบังเอิญทำให้พ่อกับแม่ของตัวเองไม่ได้พบรักกัน หนำซ้ำแม่ของเขาดันมาตกหลุมรักตัวเขาแทนอีกซะงั้น ทำให้เขาต้องแก้ไขสถานการณ์เพื่อให้พ่อ แม่ของเขากลับมารักกันได้อีกครั้ง ก่อนที่ตัวตนของเขาจะหายไปจากโลกนี้เพราะไม่ได้เกิดมา ในขณะเดียวกันก็ต้องหาทางกลับไปยังยุคปัจจุบันให้ได้อีกด้วย

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ Back to the Future เป็นหนังที่เหมาะมากๆ กับคนที่ชอบหนังผจญภัยข้ามเวลาในแบบที่ดูง่าย ย่อยง่าย และบันเทิงได้แบบเต็มอิ่มตลอดเวลาของหนัง เพราะมันมีทั้งความรู้สึก สนุก ตื่นเต้น ตลก และชวนลุ้นไปกับภารกิจของตัวเอกที่จะทำให้พ่อกับแม่ของตัวเองนั้นกลับมารักกันอีกครั้ง อีกทั้งหนังยังเต็มเปี่ยมไปด้วยจินตนาการสุดล้ำมากมาย จนเรียกได้ว่า ถึงตอนนี้ก็ยังคิดไม่ออกเหมือนกัน ว่าใครกันที่จะไม่ตกหลุมรักหนังเรื่องนี้ได้บ้าง เพราะขนาดทุกวันนี้ไม่ว่าเราจะหยิบมาดูอีกกี่ครั้ง มันก็ยังคงเสน่ห์ และมนต์ขลังดึงดูดให้เราสนุกไปกับหนังเสมือนเป็นครั้งแรกที่เราได้ดูอยู่เลย ใครที่ชอบหนังไซไฟ แฟนตาซีทีี่มีความบันเทิงคู่กับคุณภาพอย่าง E.T. หรือ Groundhog Day แล้ว ก็น่าจะมีโอกาสรักหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยากเช่นกัน

  • สายหนังวัยรุ่นยุค 80
  • สายหนังการเดินทางข้ามเวลา
  • สายหนังคลาสสิคยุค 80

รีวิว / สรุปเนื้อหา

หนังที่ระเบิดจินตนาการคนดูด้วยพล็อตเรื่องอันแสนสนุก กับการย้อนเวลาแต่ดันไปสร้างความเปลี่ยนแปลงจนกระทบมาถึงตัวเอง โดยตัวบทนั้นเริ่มจากไอเดียของผู้กำกับ เซเม็คคิส และคนเขียนบทอย่างเกล ที่คิดว่าคอนเซป What if? ว่าถ้าเขาและพ่อของเขาได้เรียนด้วยกันจะเป็นอย่างไร จนกระทั่งไปบทนี้ก็ไปเข้าตาพ่อมดแห่งวงการ Hollywood อย่าง สตีเว่น สปีลเบิร์ก และได้ร่วมกันทำมันขึ้นมา จนนำมาสู่มหากาพย์ไตรภาคการย้อนเวลา Back to the Future เรื่องนี้ ที่บิดจากความ Sci-fi จ๋าๆ (ที่ปกติจะมีทฤษฎีที่ซับซ้อนชวนปวดหัว) ไปสู่การผจญภัยในฉบับหนังวัยรุ่น ผ่าน American Pop Culture ย้อนยุค ที่สร้างความบันเทิงครบรสได้เป็นอย่างมาก และถูกใจคนยุคที่มันออกฉาย มาจนถึงปัจจุบันได้เป็นอย่างดี  (และป่านนี้คนเขียนบทอย่าง Bob Gale ที่ถือลิขสิทธิบนหนังอยู่ ก็ไม่ต้องการให้ใครมารีเมคมัน)

การแสดงของ Michael J. Fox ในบท Marty McFly และ Christopher Lloyd ในบท ด็อค ก็เป็นเคมีที่เข้ากันได้เป็นอย่างดี แม้ว่าทั้งคู่จะปรากฏด้วยร่วมกันแค่ไม่กี่ฉากในช่วงแรกของหนัง แต่ก็สร้างภาพจำที่ติดตาให้กับคนดูได้เป็นอย่างมาก (ซึ่งความสัมพันธ์ของพวกเขาก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ในภาคต่อๆ ไป จนหลายคนก็อดเสียน้ำตาไม่ได้ในหนังภาคสุดท้ายของชุดนี้) และหลายๆ อย่างในหนังก็ยังเป็น Iconic สุดเท่อย่างรถ เดอลอรีน ดีเอ็มซี-12 รวมไปถึงการแต่งกายของ Marty Mcfly ด้วย จนเรียกได้ว่าแม้หนังจะผ่านเวลาล่วงเลยมาเกิน 30 ปีแล้ว แต่หลายๆ อย่างในหนังก็ยังคงเป็นที่จดจำของแฟนหนังไม่เลือนหายไปเลยไปแม้แต่น้อย

สิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ยังเป็นที่พูดถึงมาโดยตลอด และหลายๆ คนก็พร้อมจะดูมันซ้ำเรื่อยๆ เมื่อมีโอกาสก็คือความบันเทิงเหนือกาลเวลาของมัน กับเรื่องราวที่แสนง่าย แต่เล่าออกมาได้อย่างสนุก มีทั้งการผจญภัยในยุคอดีตของตัวเอง ความน่ารักกุ๊กกิ๊กของตัวละคร (โดยเฉพาะพระเอกกับแม่ตัวเอง) และเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขัน รวมไปถึง Visual Effect ที่อยู่ในมือของทีมงาน เซเม็คคิส และอำนวยการสร้างโดยสปีลเบิร์กก็เป็นอะไรที่เชื่อมือได้ (มีรางวัล Best Effects จาก Oscar มาการันตี) และยังคงไม่ขัดตาเท่าไรนักแม้ว่าจะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม แถมมันก็ต่อยอดความสนุกมาได้อีก 2 ภาคโดยที่คุณภาพโดยรวมก็ยังไม่ตกมาสักเท่าไร (ส่วนตัวเราชอบภาค 2 มากที่สุดด้วยซ้ำ) มีอะไรให้เล่นได้อีกมาก จนไม่แปลกที่หนังชุด Back to the Future ยังคงความอมตะเหนือการเวลาแม้ว่ามันจะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • ลิขสิทธิของหนังและภาคต่ออยู่ในมือของ Robert Zemeckis และ Bob Gale ซึ่งพวกเขาทั้งสองคนออกมาบอกว่า จะไม่มีการ Reboot หรือ Remake หนังกันอย่างแน่นอนตราบใดที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่
  • แม้ว่าตัวบทหนังจะสนุกอย่างที่เราเห็นแต่จริงๆ แล้วตัวบทที่ว่านี้กลับถูกปฏิเสธมากว่า 44 ครั้ง กว่าจะมี Studio รับไปสร้าง
  • หนังกวาดรายได้รวมเป็นอันดับ 1 ของปี 1985 โดยได้ไปถึง 211 ล้านเหรียญในอเมริกา และ 381 ล้านเหรียญจากทั่วโลก