30 Days of Night (2007)

30 ราตรี ผีแหกนรก

30 Days of Night Poster
7.5/10

คะแนน
โกดังหนัง

หนังที่พลิกเรื่องราวของแวมไพร์ให้ดูสดใหม่และสนุกขึ้น
ฉากหลังแห่งความหนาวเหน็บ และคอนเซปความมืดมิด 30 วัน เหมาะกับใช้ในหนังมาก

หมวดหมู่ : Action Horror Thriller
สัญชาติ : American
กำกับโดย : David Slade
ความยาว : 1 ชั่วโมง 53 นาที
นักแสดงนำ : Josh Hartnett, Melissa George, Danny Huston

คำคมจากภาพยนตร์

“There is no escape. No hope. Only hunger and pain.”
“ไม่มีทางให้หนี ไม่มีความหวัง เหลือเพียงความหิวโหยและความเจ็บปวดเท่านั้น”

เรื่องย่อ

นายอำเภอ อีเบน โอเลสัน ผู้ดูแลเมืองบาร์โรวในอลาสก้า ที่ต้องทำหน้าที่ตรวจตราความเรียบร้อย เพราะตัวเมืองนั้นจะต้องตกอยู่ในความมืดที่ยาวนานถึง 30 วัน ในขณะที่ชาวเมืองกำลังใช้ชีวิตกันตามปกตินั้น ก็มีกลุ่มแวมไพร์ที่เข้ามาในเมืองและไล่ฆ่าคน รวมถึงเปลี่ยนให้คนกลายเป็นพวกมันมากขึ้น จนทำให้อีเบนต้องรวมตัวกับบรรดาชาวบ้านที่เหลืออยู่นั้น รวมกลุ่มกันเพื่อหาทางเอาชีวิตรอดก่อนที่จะถึงช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นให้ได้

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ 30 Days of Night นั้น อาจจะไม่เหมาะกับคนที่วาดภาพแวมไพร์ให้ดูเป็นเทพบุตรหรือตระกูลผู้ดีสักเท่าไร เพราะในเรื่องนี้มันมาในสภาพที่เหมือนแก๊งอันธพาลที่ไล่ฆ่าคนอย่างโหด จนดูมีความเป็น Monster มากกว่าที่จะเป็นแวมไพร์ด้วยซ้ำ อีกทั้งคนที่ไม่ชอบหนังโหดก็อาจจะต้องยอมแพ้กันไป เพราะเรื่องนี้สาดเลือดและอวัยวะกันเกลื่อนกลาดและมีความโหดในทุกการฆ่าอยู่มาก ใครที่ชอบหนังอย่าง The Lost Boys หรือ From Dusk Till Dawn ที่มีแวมไพร์กระหายเลือดโหดๆ เหมือนกันแล้ว ก็ขอแนะนำ 30 Days of Night เอาไว้ เพราะโหดได้ใจจริงๆ

  • สายหนังแวมไพร์สุดโหด
  • สายหนังสัตว์ประหลาดสยองขวัญ
  • สายหนังเอาชีวิตรอด

รีวิว / สรุปเนื้อหา

เราอาจจะได้เห็นหนังสไตล์แวมไพร์กันมามากมาย ซึ่งโดยส่วนมากก็มักจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่สูงศักดิ์และดูมีคลาสมาโดยตลอด แต่ในแวมไพร์เรื่องนี้กลับต่างออกไป และมีลักษณะที่ใกล้เคียงกับซอมบี้ เพียงแต่ว่าดูมีอารยธรรมมากกว่า แต่ในความโหดร้ายนั้นเรียกได้ว่าเรื่องนี้ชนะขาดเลย ด้วยความที่จัดเต็มในเรื่องความรุนแรงอย่างเต็มที่ เรียกได้ว่าเลือดสาด ชิ้นส่วนอวัยวะกระจายอยู่ตลอดทั้งเรื่องแบบที่ไม่มีการประนีประนอมหรือตัดกล้องหนี ก็ไมแปลกใจนักหากมันจะได้เรท R มาครองอย่างสมศักดิ์ศรี เพราะมันสร้างแต่ฉากออกมาได้ชวนแหวะ ชวนสยอง เต็มไปด้วยความรุนแรงเหลือเกิน

ในส่วนของแวมไพร์นั้นก็สร้างความแปลกใหม่ดี เพราะมีความเป็นกึ่งสัตว์ประหลาดและมนุษย์ปนๆ กันอยู่ อย่างในตอนล่าก็เน้นความโหดแบบสุดขีด แต่ในช่วงเวลาอื่นพวกมันกลับสื่อสารกันได้ วางแผนกันได้ และยังสามารถพูดคุยกับมนุษย์ได้อีกด้วย ก็เลยเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นนัก ซึ่งแม้ว่าจุดอ่อนของแวมไพร์ในเรื่องนี้ จะเหมือนในเรื่องอื่นๆ ที่แพ้แสงแดดอยู่เหมือนกัน แต่ว่าตัวหนังเองก็สร้างเงื่อนไขให้เป็นในเมืองที่จะไมไ่ด้รับแสงอาทิตย์ใน 30 วัน นั่นก็เลยเหมือนเป็นการตัดจุดอ่อนในเรื่องนี้ออกไปแบบกลายๆ

ในด้านการดำเนินเรื่องนั้น หนังอาจจะไม่ได้เร่งถึงจังหวะโหดระทึกได้ตลอด เลยทำให้มันมีฉากที่คุยกันชวนเบื่ออยู่บ้างในช่วงพักจากความโหดร้าย จนดูไม่กระชับเท่าไรนัก ด้วยความที่หนังหาทำเลถ่ายทำได้ที จนทำให้บรรยากาศหนาวๆ เหงาๆ นั้นดูเอื้อเฟื้อต่อความสยองของหนังเหลือเกิน ทั้งรอยเลือดที่เปรอะท่ามกลางหิมะสีขาว ก็ดูเป็นศิลปะที่สวยงามเป็นอย่างดี จนทำให้แม้ตัวหนังอาจจะมีข้อบกพร่องอะไรบางอย่างไปบ้าง แต่ด้วยความจัดเต็มด้านความโหดอำมหิตของหนังไปจนถึงฉากหลังสวยๆ แล้ว ก็นับว่าเป็นความแปลกใหม่ของหนังแวมไพร์ที่มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลย

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • ภาษา Vampire ในเรื่องนั้นมีการสร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่จริงๆ โดยได้รับความช่วยเหลือจากศาสตราจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านภาษาจากประเทศนิวซีแลนด์เข้ามาช่วยด้วย
  • ในตอนแรกผู้เขียนบท Steve Niles นั้น ต้องกาเขียนบทให้มันเป็นหนังอยู่แล้ว แต่หลังจากที่ถูกปฏิเสธจากหลาย Studio ก็เลยเอามาทำเป็นการ์ตูน จนเข้าตาสตูดิโอและได้ทำเป็นหนังตามที่ตั้งใจเอาไว้
  • ในความเป็นจริงๆ แล้วเมือง Barrow (ที่เปลี่ยนชื่อเป็น Utqiagvik) นั้นจะไม่ได้เห็นแสงแดดเป็นเวลากว่า 67วัน ไม่ใช่ 30 วัน