28 Days Later (2002)

28 วันให้หลัง เชื้อเขมือบคน

28 Days Later Poster
8.5/10

คะแนน
โกดังหนัง

จุดกำเนิดซอมบี้นักวิ่ง 4x100 ที่พร้อมสับขามาล่าเหยื่อ หนังเอาชีวิตรอดในโลกล่มสลาย ที่ทำให้รู้ว่ามนุษย์นั้นน่ากลัวกว่าซอมบี้เสียอีก

หมวดหมู่ : Drama Horror Sci-Fi
สัญชาติ : English
กำกับโดย : Danny Boyle
ความยาว : 1 ชั่วโมง 53 นาที
นักแสดงนำ : Cillian Murphy, Naomie Harris, Christopher Eccleston

คำคมจากภาพยนตร์

“What do you mean there’s no government? There’s always a government, they’re in a bunker or a plane somewhere?”
“คุณหมายความอะไรที่ว่าไม่มีรัฐบาลแล้ว มันมีรัฐบาลอยู่ตลอดแหละ เพียงแต่พวกเขาอาจจะหลบอยู่ในบังเกอร์หรือบนเครื่องบินสักที่ไปแล้ว”

เรื่องย่อ

ความพินาศเกิดจากกลุ่มต่อสู้เพื่อสิทธิสัตว์ได้เข้าไปยังสถาบันวิจัยแห่งหนึ่ง และปล่อยลิงชิมแปนซีติดเชื้อออกมาสู่ภายนอก จนทำให้ทั้งโลกถูกปกคลุมด้วยเชื้อการระบาดทำให้คนบ้าคลั่งเป็นซอมบี้ หลังจากนั้น 28 วัน ในกรุงลอนดอน จิม ชายหนุ่มที่เพิ่งตื่นขึ้นในห้องไอซียู ก็ต้องพบกับความประหลาดใจ เมื่อผู้คนทั้งเมืองนั้นต่างหายไปหมดแล้ว เหลือแต่เพียงซากศพเต็มไปหมด และศพเหล่านั้นก็ดูเหมือนจะตื่นขึ้นมาไล่ล่าเอาชีวิตของเขา ทางรอดทางเดียวก็คือการเดินทางฝ่าฝูงซอมบี้เพื่อไปสมทบกับกองกำลังที่ประกาศช่วยเหลือผู้รอดชีวิตอยู่

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ 28 Days Later นั้น แน่นอนว่าเหมาะกับคอหนังสยองขวัญสไตล์ซอมบี้เป็นแน่แท้ แถมเรื่องนี้เป็นการปรับภาพลักษณ์ซอมบี้เสียใหม่ จากที่เดินอย่างเชื่องช้า ไปสู่การวิ่งแบบ 4×100 ที่ช่วยเพิ่มความดุดันของพวกมัน และกระตุ้นความลุ้นระทึกของคนดูให้หายใจไม่ทั่วท้องกันด้วย ซึ่งใครไม่ชอบหนังสไตล์เครียดๆ สะท้อนสันดานมนุษย์สามารถข้ามได้ เพราะเรื่องนี้มีครบ แต่ถ้าชอบหนังซอมบี้สายสับแบบ Dawn of the Dead หรือ World War Z แล้วล่ะก็ สามารถดูจุดกำเนิดสายสับกันได้ที่เรื่องนี้เลย

  • สายหนังซอมบี้
  • สายหนังสยองขวัญสุดระทึก
  • สายหนังเชื้อไวรัสกลายพันธุ์

รีวิว / สรุปเนื้อหา

แม้ว่าหลายคนจะจดจำ 28 Days Later ในฐานะหนังต้นกำเนิดซอมบี้สายสับแบบ 4×100 ที่เป็นจุดเด่นของหนังแล้ว แต่จริงๆ หนังยังมีคุณค่าและองค์ประกอบที่ดีงามอีกมากมายในแง่ของภาพยนตร์ที่กำกับโดย Danny Boyle ผู้กำกับชาวอังกฤษที่ทำหนังฟีลกู๊ดก็ได้ ทำสายดาร์คก็ไปสุดดี แต่ทุกเรื่องของเขามักแฝงไปด้วยดีเทลและมุมมองที่น่าสนใจอยู่เสมอ เอาแค่ในช่วงต้นๆ ที่หนังถ่ายทอดเมืองร้างออกมาได้อย่างน่าทึ่ง และเซตฉากได้ออกมาดีงามมากๆ ไปจนถึงการได้เจอกับซอมบี้ตัวแรก ก็ต้องเปลี่ยน Mindset กันใหม่ว่าพวกมันเชื่องช้าทิ้งไปเลยทีเดียว

หากจะมองว่าหนังเรื่องนี้เป็นหนังซอมบี้มันก็ใช่ แต่เนื้อแท้ของมันจริงๆ แล้ว มันก็พาเราไปสำรวจโลกที่ล่มสลายได้ลึกกว่านั้น เพราะบรรดาซอมบี้ที่โหดร้ายก็ยังไม่อำมหิตเท่าจิตใจมนุษย์ในเรื่อง และดูท่าหนังก็จะเน้นไปกับประเด็นนี้จนมีการขยี้ความรุนแรงที่เกิดโดยมนุษย์ด้วยกันเองออกมาได้อีกหลายต่อหลายฉาก ด้วยการถ่ายทำที่มีมุมกล้องกึ่ง Handheld ก็ส่งผลเหมือนการโยนคนดูเข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ และชวนลุ้นได้มากขึ้น

หากมีโอกาสหยิบหนังเรื่องนี้มาดูและพบกับความไม่ชัด ภาพแตกเป็นเม็ดๆ ก็อย่าเพิ่งไปคิดว่าหนังเก่าจนเป็นสภาพนี้ แต่มันเป็นความตั้งใจของทีมงานที่ต้องการให้หนังมันดูดิบๆ มากขึ้น ในส่วนการดำเนินเรื่องของหนังนั้นส่วนตัวมองว่าสนุก แม้ว่าช่วงแรกๆ หลายๆ คนอาจจะมองว่ามันเหงาๆ ไปสักนิด แต่พอเครื่องติดในการพบตัวละครมากขึ้น ก็นำไปสู่เหยื่อการตายที่มากตาม และชวนลุ้นไปกับตัวละครสำคัญแต่ละตัว ที่คนดูต้องเอาใจช่วยให้พวกเขารอดชีวิต จนทำให้โดยรวมนี่คือหนังซอมบี้ประเภทครบเครื่องอีกเรื่อง ที่มีทั้งซอมบี้เกรี้ยวกราด มนุษย์ผู้ชั่วร้าย และที่ดีงามคือแทบไม่มีตัวละครโง่ๆ เลย

เกร็ดจากหนังเรื่องนี้

  • ในฉากเมืองร้างบน Motorway นั้น ทีมโปรดักชั่นได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ให้ถ่ายทำในช่วงวันอาทิตย์ตอน 7-9 โมงเช้าเท่านั้น โดยทีมตำรวจให้ความร่วมมือในการปล่อยรถช้าๆ จากทั้งสองเลน ทำให้ทีมงานสามารถใช้กล้อง 10 ตัวในการเอามาทำเมืองที่รกร้างได้อย่างเสมือนจริง
  • การวิ่ง 4x100 ของซอมบี้ที่เราเห็นนั้น ได้มาจากการที่หนังเลือกแคสนักแสดงที่เป็นนักกีฬา ทำให้เราจะเห็นซอมบี้แต่ละตัววิ่งหน้าตั้ง กันอย่างชวนสยองเลยทีเดียว