เรื่องย่อ

แจ็คสัน เคอร์ติส ได้พาลูกๆ ทั้งสองคนออกไปเที่ยวอุทยานเยลโล่สโตน และได้เจอเหตุการณ์ประหลาดที่น้ำในทะเลสาบแห้งจดหมด จนทางรัฐบาลต้องดึงตัวเขาเอาไว้ ทำให้เขาได้เบาะแสจากนักจัดรายการวิทยุที่ไม่เต็มบาทว่า ทางรัฐบาลกำลังมีโครงการลับบางอย่าง ในการช่วยเหลือผู้คนกลุ่มหนึ่งขึ้นเรือลำยักษ์ก่อนที่ภัยพิบัติจะมาถล่มโลก ทำให้ แจ็คสัน จึงต้องเตรียมการพาครอบครัวของเขาหนีไปที่สถานที่แห่งนั้นให้ได้ ท่ามกลางมหันตภัยครั้งใหญ่ระดับโลกแตกที่ไล่จี้พวกเขามาติดๆ

หนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร

สำหรับ 2012 นั้น เป็นหนังที่เหมาะสำหรับคนที่ชอบหนังมหันภัย หรือหายนะที่ถล่มโลกในสเกลที่แบบใหญ่โตจนถึงขนาดโลกจะแตก นี่คือหนังที่เล่นใหญ่พอสำหรับคุณอย่างแน่นอน เพราะมันรวมเอาเอาไว้หลายภัยพิบัติมากๆ แถมฉากก็ยังใหญ่จัดเต็มจัดหนัก ถล่มกันแบบถึงใจ และฉากเอาชีวิตรอดที่ชวนลุ้น แม้ว่าคนที่คาดหวังประเด็นที่เข้มข้น หรืออยากเห็นสาระมากกว่านี้จะต้องผิดหวังแต่คนที่ชอบหนังหายนะแบบดูเอามันส์อย่าง The Day After Tomorrow หรือ San Andreas แล้ว จะต้องสะใจไปกับการถล่มรอบนี้กันอย่างแน่นอน

• สายหนังแอคชั่นผจญภัย
• สายหนังภัยพิบัติล้างโลก
• สายหนังเอาชีวิตรอดจากหายนะ

รีวิว / สรุปเนื้อหา

มหกรรมการยำใหญ่ที่สุดของผู้กำกับจอมทำลายล้างอย่าง Roland Emmerich ที่สรรหาอะไรมาทำลายล้างโลกกันอยู่ตลอดเวลา ซึ่งคราวนี้ก็หยิบการทำนายจากปฏิทินของชาวมายันที่ระบุเอาไว้ว่าในปี 2012 จะเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ จนถึงคราวที่โลกล่มสลาย เอามาขึ้นจอให้เห็นภาพกันชัดว่ามันจะมีหน้าตาออกมาอย่างไร ถ้าโลกของเราถึงเวลานั้นจริงๆ ซึ่งหนังก็จัดหนักจัดเต็มในส่วนนี้ออกมาได้ดีมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฉากใหญ่ในการทำลายล้างต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น แผ่นดินไหว แผ่นดินแตกแยกตัว, ลาวาถล่ม, หรือน้ำท่วมโลกเกิดเป็นสึนามิลูกใหญ่อย่างฉับพลัน ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เรียกได้ว่าเป็นจุดขายสำคัญของหนังจริงๆ

ซึ่งเมื่อผสมผสานกับ CG และงานสร้างสุดอลังการแล้ว ก็ทำในการเล่นใหญ่ครั้งนี้ไปได้สุดและตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก กับการเอาชีวิตรอดของตัวละคร ผ่านทางยานพาหนะต่างๆ ท่ามกลางเหตุการณ์เหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นรถหรู เครื่องบินเล็ก เครื่องบินใหญ่ หรือเรือลำยักษ์ ก็ชวนลุ้นกันไปได้ในทุกซีน ในส่วนข้อเสียของหนังตามสไตล์ผู้กำกับเจ้านี้ ก็คงหนี้ไม่พ้นการมุ่งหน้าถล่มทุกอย่าง โดยที่ลืมใส่ใจในพาร์ทตัวละคร และประเด็นที่น่าจะเข้มข้นได้กว่านี้ แต่ทั้งนี้ก็เชื่อว่าทั้งผู้กำกับและคนดูอีกหลายคนที่มาดู 2012 ก็อาจจะไม่ได้คาดหวังสิ่งที่กล่าวมาตั้งแต่ต้น เลยอาจจะพอใจกับงานนี้อยู่แล้วก็ได้

อีกส่วนนึงที่น่าเสียดายก็คือรู้สึกว่าตัวหนังอาจจะยาวไปสักนิด ด้วยเวลากว่า 2 ชั่วโมงครั้ง กับเรื่องราวที่มีแต่มหันตภัยและการถล่มล้วนๆ ก็ทำให้ในช่วงท้ายๆ คนดูก็อาจจะเริ่มเอียนไปกับการผจญภัยของเขาไปเสียแล้ว และเมื่อใดที่ไม่มีฉากถล่มนั้น ก็จะกลายเป็นช่วงจืดชืดพอที่จะให้ชวนหาวกันได้เลย โดยรวมมันจึงเป็นหนังที่ตั้งใจทำออกมาให้คนดูสะใจและชวนลุ้นไปกับการเห็นภาพโลกที่กำลังล่มสลายออกมาได้อย่างน่าสนุกในแบบที่ไม่ค่อยเห็นหนังเรื่องไหนถล่มได้ในระดับนี้นัก และหากมองข้ามเรื่องวิทยาศาสตร์ หรือพาร์ทคนที่่จืดชืดของหนังไปได้ ก็น่าจะสนุกไปกับมันได้ไม่น้อยเลย