หนังคุณภาพ Will Smith ที่แฟนๆไม่ควรพลาด

เวลานี้ Will Smith กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤติครั้งใหญ่ หลังวีรกรรมไปตัดหน้า Chris Rock กลางงานประกาศรางวัลออสการ์ 2022 แม้ว่าจะได้รางวัลดารานำชายยอดเยี่ยมกลับไปนอนกอด แต่ซุปตาร์วัย 52 ปีก็สังเวยกับการสูญเสียงานแสดงหนังไปมากมายๆหลากหลายโปรเจ็คนับไม่ถ้วนที่ต้องถูกระงับ พร้อมกับโดนประนามมากมาย แต่ถึงกระนั้น Will Smith คือดาราแถวหน้าของวงการ

แม้จะมีข้อผิดพลาดเป็นช่องโหว่ แต่เขาเองก็สร้างผลงานหนังดีๆไว้มากมายให้ผู้คนได้จดจำหลากหลายบทบาท ไม่ว่าจะเป็นแอ็คชั่นสตาร์แถวหน้าของวงการ บทคอมเมดี้ บทดราม่า ช่วงพีคของ Will ในยุค 90 คือผลงานระดับมาสเตอร์พีชระดับขึ้นหิ้งที่หลายๆเรื่องทำเงินถล่มทลายบ็อกซ์ออฟฟิตมาแล้ว แถมยังปูทางให้ดาราผิวสีฉายแสงได้แจ้งเกิดตามรอยเขาอีกตั้งหากเราเลยขอหยิบยกผลงานคุณภาพของ Will มานำเสนอให้ทุกๆคนได้จดจำเขาอีกครั้ง

1.Bad Boys (1995-2021)

ไมค์ นายตำรวจสุดเท่ กับคู่หูสุดฮา มาร์คัส สุดยอดตำรวจมือพระกาฬแห่งไมอามี่ ที่มักสร้างความชิบหายวายวอดในทุกคดีที่ลงไป พวกเขาต้องเจอกับคดีใหม่ กับการฆาตกรรมที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดมูลค่ามหาศาล ที่มี จูลี่ พยานสาวเพียงคนเดียวที่ดันไปรู้เห็นเหตุการณ์และระบุตัวฆาตกรได้ พวกเขาจึงต้องคุ้มครองเธอในฐานะพยานปากเอกจากแก๊งยาเสพติด พร้อมทั้งคลี่คลายคดีนี้ไปพร้อมๆ กัน

ผลงานสร้างชื่อจากหนังแอคชั่นในยุค 90s อีกเรื่อง ที่มีสไตล์ในแบบดั้งเดิม บทหนังไม่ซับซ้อน ฉากแอคชั่นดูสนุกแบบไม่ต้องเล่นใหญ่ เพิ่มเติมด้วยคาแรคเตอร์คู่หูที่โดดเด่น น่าจดจำก็ทำให้กลายเป็นหนังที่ดูสนุกสุดเพลินอีกเรื่อง อีกทั้งยังได้เห็นการอาศัยความสร้างสรรค์ในการทำหนังแอคชั่นทุนต่ำที่ได้ผลดี มีความน่าสนใจจากใช้เทคนิคต่างๆ เพื่อลดต้นทุนแต่ยังทำให้หนังสนุกได้อยู่ ซึ่งถ้าใครชอบหนังแอคชั่นดูง่ายๆ ไม่ซับซ้อนแบบ The Rock, Face/Off ก็น่าจะชอบ Bad Boys ได้ไม่ยาก

2.Independence Day (1996)

เดวิด ลีวินสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านสัญญาณคอมพิวเตอร์ ได้ถอดรหัสสัญญาณจากยานอวกาศลึกลับขนาดใหญ่ยักษ์ออกมาได้ พร้อมๆ ยานลูกลำเล็กๆ อีกหลายลำ ว่ามันเป็นสัญญาณที่จะโจมตีโลกพร้อมกัน ซึ่งทางประธาธิบดี วิทมอร์ เองก็ได้สั่งอพยพในทันที แต่นั่นก็ดูเหมือนจะสายเกินไป เมื่อยานทำลายล้างเข้ามาถึงโลก และบุกโจมตีทุกอย่างที่ขวางหน้า แม้ว่าฝ่ายมนุษย์จะรับมืออย่างไร ก็ดูเหมือนจะไร้ประโยชน์ไปซะหมด คนที่เหลือรอดจึงต้องแข่งกับเวลา เพื่อทำลายเกราะของยานและเพื่อขับไล่ต่างดาวกลับไปให้ได้

สำหรับ Independence Day นั้น ถ้าเป็นคนยุค 90s เราคงไม่ห่วงเพราะเชื่อว่าพวกเขาคงได้โตมากับหนังเรื่องนี้ และได้ดูกันหมดอยู่แล้ว แต่สำหรับคนรุ่นหลังจากนี้ ที่อาจจะได้ดูภาค Resurgence ในปี 2016 แล้วไม่ชอบ ก็อยากจะให้ลองมอบโอกาสให้กับต้นตำหรับในปี 1996 นี้ดู เพราะตัวหนังน่าจะคลาสสิคและจัดเต็มถูกใจกว่ามากๆ รวมถึงฉากที่น่าจดจำก็ยังมีมากกว่าภาคใหม่เยอะ หากใครที่อยากหาหนังต่างดาวบุกโลกดีๆ สักเรื่องอย่าง War of the Worlds (2005) หรือประเภทดูเอามันส์อย่าง Battleship แล้ว เราก็อยากให้มี Independence Day เป็นหนังต่างดาวดีๆ ในความทรงจำอีกสักเรื่อง

3.Men in Black (1997-2012)

เค เจ้าหน้าที่หน่วยงานลับพิเศษ MIB ที่ทำหน้าที่สังเกตการณ์และเฝ้าระวังการใช้ชีวิตของมนุษย์ต่างดาวที่แฝงตัวเข้ามาใช้ชีวิตร่วมกับมนุษย์โดยไม่ให้เกิดความวุ่นวาย ซึ่งเขากำลังมองหาเจ้าหน้าที่หน้าใหม่เข้ามาเป็นคู่หูกับเขา จนได้เจอกับ เจมส์ ตำรวจหนุ่มจากกรมตำรวจนิวยอร์ค และถูกใจจนเอาเข้ามาทำงานด้วยกัน ประกอบกับเอเลี่ยนแมลงสาบตัวใหม่ ที่มีเป้าหมายสุดอันตราย เลยทำให้พวกเขาต้องหาทางหยุดยั้งก่อนที่โลกจะวินาศไปกว่านี้

สำหรับ Men in Black หรือ MIB นั้น เหมาะกับคนที่ชอบหนังเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวในโทนสบายๆ ดูสนุกบันเทิง แต่ถ้าเกลีดยดแมลงสาบอาจจะร้องยี้ๆ ไปได้เกือบทั้งเรื่อง เพราะมันเป็นคาแรคเตอร์ของตัวร้ายในเรื่องนี้ แต่ในส่วนอื่นๆ คือหนังมันสร้างจักรวาลและพื้นที่ของตัวเองขึ้นมาได้ดี มีหลายอย่างที่น่าจดจำมาถึงทุกวันนี้ ทั้งชายชุดดำ เครื่องลบความทรงจำ ต่างๆ นานา ที่เป็น Iconic ชั้นดีที่ทำให้คนยังนึกถึงอยู่เสมอ ซึ่งหากใครชอบหนังชุดนี้ในฉบับใหม่ล่าสุดอย่าง Men in Black: International แล้ว ควรย้อนกลับไปดูจุดกำเนิดในไตรภาคแรกของมันเป็นอย่างยิ่ง

4.Enemy of the State (1998)

เมื่อรัฐบาลกำลังพยายามผ่านกฏหมายที่อนุญาตให้รัฐดักฟังประชาชน แต่มี ส.ส. คนหนึ่งที่พยายามจะคัดค้าน เลยถูกเจ้าหน้าที่รัฐฆ่าทิ้ง แต่แล้วกลับมีคนถ่ายเหตุการณ์การอำพรางศพเอาไว้ได้ และเทปเจ้ากรรมดันบังเอิญตกไปอยู่ในมือของ ดีน ทนายดวงซวย เขาเลยกลายเป็นเป้าหมายต่อมาในการจับตามองของรัฐ ว่าเขาจะทำอะไรกับคลิปวิดีโอนี้ จนทำให้เขาต้องใช้ไหวพริบในการเอาตัวรอดจากการตามจับของหน่วยงานที่แทบจะติดตามเขาได้ทุกอย่าง

สำหรับ Enemy of the State นั้น ไม่เพียงแค่เหมาะกับคอหนังสายทริลเลอร์ธรรมดาทั่วไปเท่านั้น แต่ยังตั้งคำถามถึงอำนาจของรัฐที่จะเข้าถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชนในด้านต่างๆ เข้ามาด้วย จนเสริมให้เนื้อเรื่องและเรื่องราวนั้นมีความเข้มข้นมากขึ้นไปอีก จนทำให้หนังเรื่องนี้สร้างสรรค์ความระทึกชวนลุ้นให้กับคนดูได้แบบนั่งไม่ติดเก้าอี้ โดยที่ไม่ต้องเน้นฉากแอคชั่นมากมาย ซึ่งใครชอบหนังสไตล์พระเอกที่ต้องหนีๆ บวกกับประเด็นเข้มๆ เช่นนี้แบบ The Fujitive หรือ U.S. Marshalls แล้วนี่คืออีกเรื่องที่ต้องดูเลยจริงๆ

5.I Robot (2004)

ในโลกอนาคตมี 2035 หุ่นยนต์นั้นกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้คน จนกระทั่งมีเหตุอาชญากรรมปริศนาเกิดขึ้น จนทำให้ เดล สปูนเนอร์ นักสืบรายหนึ่งที่ไม่เคยเชื่อในสิ่งที่เรียกว่าจักรกลเลย ด้วยอดีตที่ไม่ค่อยดีนัก แต่แล้วเขากลับได้มาทำคดีฆาตกรรมที่เกิดขึ้นกับ ดร. ไมล์ส ผู้คิดกฏเหล็กของหุ่นยนต์ 3 ข้อ โดยมีหุ่นยนต์อย่าง ซอนนี่ เป็นหุ่นตัวเดียวที่อยู่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยิ่งเมื่อเขาสืบไป เขากลับได้พบเบื้องหลังบางอย่างที่อาจเป็นการปฏิวัติโลกใบนี้ไปตลอดกาล

สำหรับ I, Robot เป็นหนังอีกเรื่องสำหรับคอไซไฟ วิทยาศาสตร์ในแบบกำลังพอดี และไม่ต้องดูยากมากนัก เรื่องนี้คือเรื่องที่เหมาะมากๆ เพราะมันผสมผสานเรื่องปรัชญาที่ชวนคิดในเรื่องของจักรกล กับหนังแอคชั่นแบบป๊อปคอร์นเอาไว้ด้วยกันอย่างลง เลยทำให้จะดูเอาสาระก็มีให้ เพราะจะเข้าใจเรื่องระบบ A.I. และหลักการของจักรกลได้ดีขึ้น ในขณะที่ก็สร้างความเพลิดเพลินไปกับความมันส์ในหนังได้อีกด้วย ใครที่ชอบหนังแอคชั่น ไซไฟหุ่นยนต์สไตล์นี้อย่าง Automata หรือ Ex Machina แล้ว ก็อยากให้เติม I, Robot ที่มาก่อนเข้าไปด้วยอีกสักเรื่อง

6.The Pursuit of Happyness (2006)

คริส เซลล์แมนขายเครื่องสแกนกระดูก ที่มีชีวิตที่ค่อนข้างเรียบง่ายกับครอบครัว แต่วันนึงหายนะก็มาเยือน เมื่อเครื่องสแกนกระดูกที่เขาลงทุนไปนั้น กลับขายไม่ดีเหมือนเก่า จนทำให้เงินทุนจมไปแทบทั้งหมดและเกิดปัญหาทางการเงินตามมา แม้แต่ภรรยาก็ยังตีจากแยกทางกันไปเพราะรับภาระไม่ไหว คริสจึงต้องกระเตงลูกชายออกมาเพื่อพยายามขายเครื่องสแกนกระดูกต่อไป แต่ดูแล้วก็แทบไม่มีหวัง เขาจึงปรับเปลี่ยนแนวคิดใหม่ เพื่อมุ่งสู่งานสาย Broker ตามบุคคลที่เป็นตัวอย่างความสำเร็จ ท่ามกลางอุปสรรคต่างๆ ในชีวิตที่ถาโถมเข้ามา

สำหรับ The Pursuit of Happyness เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มองหาหนังสร้างพลังบวกในชีวิต เติมไฟในการสู้ชีวิต ในการทำงาน ทำธุรกิจหรืออะไรก็ตาม เพราะบทในหนังคือดราม่า ขยี้ใจหลายซีนเหลือเกิน แถมพอมันเป็นหนังที่สร้างมาจากเรื่องจริงด้วย ก็ยิ่งมีพื้นฐานบางอย่างให้คนเชื่อถือได้มากยิ่งขึ้น ทำให้คนที่ชอบหนังถ่ายทอดเรื่องราวนักธุรกิจอย่างพวก Joy ที่ฝ่าฟันอุปสรรคจนประสบความสำเร็จได้ นี่คือหนังอีกเรื่องที่น่าสร้างแรงบันดาลใจให้จริงๆ

7. I am Legend (2007)

โรเบิร์ต เนวิลล์ มนุษย์คนสุดท้ายที่ยังอาศัยอยู่ในเมืองของนิวยอร์ค หลังวันสิ้นโลก เนื่องจากผู้คนต่างติดเชื้อมรณะจนกลายพันธุ์กันหมด จนลามไปทั่วโลกและทให้ทั้งเมืองกลายเป็นเมืองร้าง ด้วยความที่โรเบิร์ตเป็นนักวิทยาศาสตร์ เขาจึงพยายามที่จะพัฒนาเซรุ่ม จากภูมิคุ้มกันตัวเอง เพื่อหวังให้ผู้คนกลับมาสู่สภาพเดิมให้ได้ ทำให้เขาต้องเดินทางกับสุนัขคู่ใจเพื่อทำภารกิจนี้

สำหรับ I am legend นั้น นับเป็นที่เหมาะมากกับคนที่ชอบหนังสไตล์เอาชีวิตรอดท่ามกลางโลกที่ล่มสลาย แต่เรื่องนี้มันดันใจร้ายกว่านั้นเพราะมันทิ้งพระเอกเอาไว้ให้เป็นมนุษย์ที่รอดชีวิตเพียงคนเดียวท่ามกลางเมืองใหญ่ที่รกร้าง ซึ่งก็ยังดีที่หนังก็ให้น้องหมามาหนึ่งตัวเอาไว้ให้พระเอกแก้เหงาก่อนที่จะบ้าตายไปเสียก่อน ต้องบอกก่อนว่าแม้หน้าหนังจะดูเป็นการผจญภัย แต่จริงๆ ก็มีความสยองขวัญ ระทึกขวัญอยู่ไม่น้อย จนใครที่กลัวพวกสัตว์ประหลาดหรือมนุษย์กลายพันธุ์ก็อาจจะต้องมีปิดตายอยู่หลายฉาก แต่สำหรับคนที่ไปไหว นี่น่าจะเป็นหนังผจญภัยเอาชีวิตรอดหลังโลกล่มสลายที่สนุกมากอีกเรื่องไม่ต่างกับ The Road หรือ The Book of Eli เลย

8.Hancock (2008)

จอห์น แฮนค็อก หรือชื่อในวงการฮีโร่ว่า แฮนค็อก เขาเป็นฮีโร่ที่อยู่ในสถานะเหมือนคนเร่ร่อนที่เมาไปวันๆ แม้ว่าจะทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้คนอยู่บ้าง แต่สุดท้ายแล้วผลที่ออกมาก็มักทำให้ทุกอย่างพังยับเยินเสียหายไปมากกว่าเดิมทุกครั้ง จนทำให้เขาเองไม่เป็นที่ยอมรับและต้อนรับในสังคม จนกระทั่ง เรย์ สามีของภรรยาเก่าของ แฮนค็อก จึงได้เสนอตัวจะช่วยแก้ไขภาพลักษณ์ที่เขาเป็นอยู่ เพื่อเป็นการตอบแทนจากการที่ได้รับการช่วยเหลือเอาไว้ จนทำให้เกิดเป็นเรื่องราวสุดวุ่นวายขึ้นมา

สำหรับ Hancock นั้นคือหนังที่เหมาะสำหรับคนที่กำลังเบื่อหนังซุปเปอร์ฮีโร่ในแบบเดิมๆ ที่ต้องเป้นคนดี ต้องช่วยเหลือคนอื่น กลายมาเป็นชายเร่ร่อนขี้เมา ที่ทำแต่เรื่องวุ่นวายจนคนเกลียดขี้หน้า ซึ่งก็เป็นการพลิกโฉมคำว่าฮีโร่ที่เรารู้จักกันไปเลย ซึ่งในส่วนอื่นๆ ของหนังก็เรียกได้ว่าทำออกมาได้ตามมาตรฐาน ทั้งฉากแอคชั่นที่ดูสนุก มีปมตัวละครที่น่าสนใจ แต่ที่น่าเสียดายหน่อยก็คือมันดันผสมกันแบบไม่ค่อยกลมกล่อมเท่าไรนัก เอาเป็นว่าใครที่ชอบหนังฮีโร่ที่ไม่ได้เป็นคนดีจ๋าๆ อย่าง Hellboy, Constantine หรือแม้กระทั่งหนังอย่าง Jumper ก็น่าจะถูกใจได้อยู่