TimeTravel_00

รวมหนัง 7 พาย้อนเวลา ย้อนสมัยแก้ไขอดีต

สำหรับคอหนังสายไซไฟแล้ว จะมีหนังกลุ่มย่อยประเภทหนึ่งที่คนชอบดูกันอย่างเหนียวแน่น นั่นก็คือ หนังย้อนเวลา หรือหนังที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางข้ามเวลาไม่ว่าจะไปอดีตหรืออนาคตก็ตาม ซึ่งเสน่ห์ของหนังประเภทนี้ก็คงจะเป็นการได้เห็นตัวละครได้ย้อนเวลากลับไปในช่วงเวลาที่ชวนถวิลหา หรือหากข้ามไปในโลกอนาคตก็จะได้เห็นพลังแห่งจินตนาการ ที่มโนหรือวิเคราะห์กันไปว่าในโลกอนาคตจะมีอะไรแปลกใหม่ หรือเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ซึ่งก็นับว่าน่าสนใจไม่น้อยเลย

ซึ่งสัปดาห์นี้ด้วยความที่หนังไทยย้อนเวลาที่โด่งดังไปทั่วบ้านทั่วเมืองอย่าง “บุพเพสันนิวาส” ที่จากภาคแรกเป็นละครทางช่อง 3 ที่ทำเอาคนติดกันงอมแงม การกลับมาครั้งนี้ก็จะเป็นในรูปแบบภาพยนตร์แบบยิงยาวกันไป ด้วยทีมดาราเดิม เพิ่มเติมด้วยตัวละครใหม่ๆ ที่จะมาสร้างสีสันให้หนังมากขึ้นไปอีก ซึงเรื่องราวก็จะยังวนเวียนกับการย้อนเวลาของตัวละครปัจจุบันไปอยู่ในยุคเก่าเหมือนเดิม นับเป็นหนังไทยย้อนเวลาที่น่าจับตามองของสัปดาห์นี้เลย แต่ระหว่างนี้ขอแนะนำหนังย้อนเวลาที่น่าสนใจเรื่องอื่นๆ กันก่อน มีตามนี้เลย

1. The Butterfly Effect (2004)

อีวาน เทรบอร์น เด็กที่เติบโตมาด้วยอาการสูญเสียความทรงจำไปในบางช่วงของชีวิต ทำให้จิตแพทย์ต้องให้เขาทำการจดไดอารี่เอาไว้ เพื่อบันทึกไม่ให้ความทรงจำหายไป ทำให้ในวัยเด็กของเขาจึงเต็มไปด้วยปัญหาอย่างมาก จนกระทั่งเมื่อเขาเติบโตขึ้นมาในวัยหนุ่ม เขานั้นได้ค้นพบว่า การอ่านไดอารี่ในวัยเด็กของเขานั้น ได้พาเขาย้อนกลับไปสู่ในช่วงเวลานั้น และทุกสิ่งที่เขาได้ตัดสินใจทำในอดีตกลับส่งผลไปถึงอนาคตอย่างรุนแรง

หนังสายย้อนเวลาอีกเรื่อง ที่ควรต้องดูสักครั้งในชีวิต แม้ที่ผ่านมาจะมีหนังย้อนเวลาที่คอนเซปต่างกันออกไป เช่น ย้อนแล้วเพิ่มจักรวาลคู่ขนานขึ้น ย้อนแล้วแก้ไขอะไรไม่ได้ ย้อนแล้วชีวิตแฮปปี้ แต่เรื่องนี้กลับกลายเป็นแนวยิ่งแก้ยิ่งแย่เข้าไปอีก ที่จะทำให้คนดูได้ร่วมสนุกและลุ้นไปกับหนังแทบทุกครั้งที่มีการย้อนเวลากลับไป ว่าปัจจุบันจะมีผลกระทบเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรได้บ้าง ใครที่ชอบหนังย้อนเวลาเพื่อไปแก้ไขอะไรบางอย่าง ในสายหม่นๆ ก็น่าจะถูกใจ เพราะมันดาร์คขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ย้อนเวลาเลยจริงๆ 

2. Back to the Future (1985)

มาร์ตี้ แม็กฟลาย เด็กวัยรุ่นที่มีเพื่อนเป็นนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง เอ็มเม็ตต์ บราวน์ ซึ่งวันนึง บราวน์ ก็ได้สร้างไทม์แมชชีนขึ้นมาได้สำเร็จ จนเกิดเหตุการณ์ชลมุนทำให้ แม็กฟลาย นั้นจับพลัดผลูเข้าไปมีส่วนร่วมในการย้อนเวลาจากปี 1985 ไปยังปี 1955 จนได้พบกับพ่อ แม่ของตัวเองในช่วงวัยไฮสคูล แต่แล้วความวุ่นวายก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อเขาดันบังเอิญทำให้พ่อกับแม่ของตัวเองไม่ได้พบรักกัน หนำซ้ำแม่ของเขาดันมาตกหลุมรักตัวเขาแทนอีกซะงั้น ทำให้เขาต้องแก้ไขสถานการณ์เพื่อให้พ่อ แม่ของเขากลับมารักกันได้อีกครั้ง ก่อนที่ตัวตนของเขาจะหายไปจากโลกนี้เพราะไม่ได้เกิดมา ในขณะเดียวกันก็ต้องหาทางกลับไปยังยุคปัจจุบันให้ได้อีกด้วย

หนังที่ระเบิดจินตนาการคนดูด้วยพล็อตเรื่องอันแสนสนุก กับการย้อนเวลาแต่ดันไปสร้างความเปลี่ยนแปลงจนกระทบมาถึงตัวเอง โดยตัวบทนั้นเริ่มจากไอเดียของผู้กำกับ เซเม็คคิส และคนเขียนบทอย่างเกล ที่คิดว่าคอนเซป What if? ว่าถ้าเขาและพ่อของเขาได้เรียนด้วยกันจะเป็นอย่างไร จนกระทั่งไปบทนี้ก็ไปเข้าตาพ่อมดแห่งวงการ Hollywood อย่าง สตีเว่น สปีลเบิร์ก และได้ร่วมกันทำมันขึ้นมา จนนำมาสู่มหากาพย์ไตรภาคการย้อนเวลา Back to the Future เรื่องนี้ ที่บิดจากความ Sci-fi จ๋าๆ (ที่ปกติจะมีทฤษฎีที่ซับซ้อนชวนปวดหัว) ไปสู่การผจญภัยในฉบับหนังวัยรุ่น ผ่าน American Pop Culture ย้อนยุค ที่สร้างความบันเทิงครบรสได้เป็นอย่างมาก และถูกใจคนยุคที่มันออกฉาย มาจนถึงปัจจุบันได้เป็นอย่างดี  (และป่านนี้คนเขียนบทอย่าง Bob Gale ที่ถือลิขสิทธิบนหนังอยู่ ก็ไม่ต้องการให้ใครมารีเมคมัน)

3. X-Men: The Day of Future Past (2014)

เมื่อโลกอนาคตมนุษย์กลายพันธุ์หรือมิวแทนท์ต่างโดนกวาดล้างไปจนหมดจากหุ่นยนต์เซนติเนลที่ถูกสร้างขึ้นมาในอดีตเพื่อกำจัดพวกเขา ทำให้บรรดามนุษย์กลายพันธุ์ที่ยังหลงเหลืออยู่ต่างต้องหาทางเอาชีวิตรอด พร้อมทั้งแก้ปัญหาโดยการให้ คิตตี้ ไพร์ด ที่มีความสามารถในโยกย้ายจิตใจคนไปยังอดีตได้ เลยเลือกส่งความหวังอย่าง วูลฟ์เวอรีน เพื่อกลับไปเตือนเหล่าสมาชิก X-Men ในอดีต เพื่อยับยั้งเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นให้ได้

สำหรับ X-Men: Days of the Future Past นั้น จะเหมาะสำหรับคนที่ติดตามหนังชุด X-Men มาแล้วเกือบทุกภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ 3 ภาคหลัก และภาค X-Men: First Class มาก่อน ไม่เช่นนั้นคงได้งงกับทั้งตัวละครและเรื่องราวของหนังกันแน่ๆ เพราะภาคนี้มันค่อนข้างที่จะเชื่อมโยงและใช้เนื้อหามาจากภาคอื่นๆ เข้ามาเยอะ เพื่อจัดให้มันเป็นระเบียบขึ้น ซึ่งสำหรับคนที่ติดตามมาโดยตลอดอยู่แล้ว รับรองได้เลยว่านี่จะเป็นภาคที่คุณจะต้องหลงรักมันอย่างแน่นอน ไม่ว่าคุณจะชอบ X-Men ในเซตเก่า หรือใหม่มาก่อนก็ตาม

4. Project Almanac (2015)

เดวิด หนุ่มวัย 16 ปี ที่บังเอิญพบว่าตัวของเขาในปัจจุบันไปปรากฏในคลิปวิดีโอวันเกิดตัวเองสมัย 7 ขวบ ทำให้เขาเชื่อมั่นว่าเขานั้นจะสามารถย้อนเวลาได้ จนกระทั่งเขาและกลุ่มเพื่อนก็ได้พบกับแบบแปลนของเครื่องย้อนเวลาที่พ่อของเขาทิ้งเอาไว้ จนทำให้พวกเขาได้สร้างเครื่องย้อนเวลาขึ้นมาได้ และใช้มันจนเกิดความโกลาหลเกินกว่าที่คาดคิด

อีกหนึ่งไอเดียว่าถ้า Time Machine ถูกสร้างและใช้โดยกลุ่มเด็กวัยรุ่ยฮอร์โมนพลุ่งพล่านมันจะออกมาเป็นอย่างไร พวกเขาจะใช้แบบคิดดีแล้ว หรือจะรับผิดชอบต่อการเปลี่ยนแปลงในอดีตหรือไม่ มันเลยออกมาเป็นหนังที่ถ่ายทำแบบ Handheld ที่เน้นความเป็นวัยโจ๋มากๆ และได้เห็นวีรกรรมห่ามๆ ที่ทำอะไรไม่คิด แบบไม่กลัวอนาคตจะเปลี่ยนไป แต่กลับใช้เพื่อผลประโยชน์ตัวเอง ซึ่งก็มุมที่น่าสนใจ เพราะถ้าเครื่องมือนี้มันตกอยู่ในมือคนธรรมดาก็อาจจะเป็นเช่นนี้ก็ได้

5. About Time (2013)

ทิม เลค ชายหนุ่มแสนธรรมดา ที่ในวัย 21 ได้ค้นพบว่าตัวเองมีพันธุกรรมหนึ่ง ที่ผู้ชายในตระกูลนี้จะสามารถย้อนเวลาได้ โดยข้อจำกัดก็คือสามารถย้อนไปในการแก้ไขชีวิตตัวเองได้ แต่ไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์หรืออะไรได้ เขาเลยมีความตั้งใจจะเอาพลังที่ว่านี้ไปใช้ในการจีบสาวที่เป็นเรื่องยากสำหรับเขา จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาก็ได้พบกับ สาวสวยที่ชื่อ แมรี่ เขาได้ใช้พลังการย้อนเวลาวนกลับไปจนจีบเธอติด พร้อมทั้งแก้ไขสิ่งต่างๆ ในชีวิิต แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็ต้องพบว่าพลังที่เขามีนั้น กลับส่งผลกระทบกับชีวิตเขามากกว่าที่คิด และในบางครั้งมันก็ไม่ได้ใช้แก้ได้ทุกปัญหาเสมอไป

สำหรับคนที่กำลังมองหาหนังฟีลกู้ด มองพลังบวกให้กับชีวิต ทั้งมุมมองด้านความรัก และความสัมพันธ์ในครอบครัว ที่หนังเรื่องนี้มีทุกอย่างที่มองหาเลย เพราะทั่้งพาร์ทความโรแมนติกก็ทำออกมาได้น่ารัก หรือพาร์ทดราม่าก็อบอุ่นหัวใจดี อีกทั้งในพาร์ทของการย้อนเวลาก็ทำออกมาเข้าใจง่ายๆ ไม่ได้เน้นความสมจริงให้มาปวดหัว (ซึ่งหากใครจะมาหาความไซไฟให้มองผ่านไปเลย) จนทำให้มันเป็นหนังรักฟีลกู้ดข้อคิดดีๆ อีกเรื่องที่จะทำให้หัวใจคนดูพองโตได้เป็นอย่างดีหลังดูจบ พร้อมกับน้ำตาแห่งความประทับใจกันได้เลย

6. Terminator 2: Judgement Day (1991)

หลังจาก 11 ปีที่ ซาร่าห์ คอนเนอร์ ได้เอาชีวิตรอดจากการตามล่าของหุ่นสังหาร T-800 มาได้ ก็ต้องเลี้ยงดูความหวังของโลกใบนี้ นั่นก็คือ จอห์น คอนเนอร์ ลูกชายคนเดียวของเธอเพียงลำพัง แต่แล้วเธอก็ต้องแยกจากกับจอห์น เพราะถูกจับเข้าโรงพยาบาลประสาท หลังจากที่พยายามทำลายโรงงานผลิตคอมพิวเตอร์ที่จะนำมาสู่สกายเน็ต องค์กรที่จะผลิตจักรกลสังหารในอนาคตจนโลกต้องล่มสลาย ทำให้ จอห์น เองต้องเติบโตมากับครอบครัวพ่อแม่บุญธรรมแทน ขณะเดียวกันในโลกอนาคต ทาง สกายเน็ต ก็ยังคงหวังที่ฆ่า จอห์น ในอดีตอีกครั้งอีกครั้ง เพื่อยับยั้งผู้นำฝ่ายมนุษย์ จึงส่งหุ่นสังหารรุ่นใหม่ T-1000 ที่สามารถเปลี่ยนรูปร่างกายภาพได้ ซึ่งเมื่อทางฝ่ายต่อต้านนำโดยจอห์นในอนาคตล่วงรู้จึงแก้ไขโปรแกรมให้กับหุ่น T-800 และส่งมาคุ้มครองตัวเองและแม่ในอดีตเช่นกัน

หนังที่จะเหมาะกับคอหนังแอคชั่นในทุกยุคทุกสมัย แม้จะเป็นแนวไซไฟที่ใช้การคอนเซปการย้อนเวลา แต่ก็เล่าออกมาให้ย่อยง่ายดูง่าย ไม่ได้เน้นทฤษฎีอะไรให้มากมาย อีกทั้งยังมีฉากแอคชั่นใหญ่ๆ มันส์ๆ เยอะแยะเต็มอิ่ม และพาร์ทดราม่าดีๆ ให้เราผูกพันกับตัวละครที่ชวนให้เสียน้ำตากันได้อีกด้วย ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ยากจะหาเรื่องใดมาเปรียบ แต่เอาเป็นว่าหากดูคนเหล็กภาคใหม่ๆ แล้วถูกใจ ยังไงก็ต้องย้อนกลับมาดูภาคนี้กันอยู่ดี เพราะมันคือ Masterpiece ของหนังชุดนี้แล้ว

7. บุพเพสันนิวาส 2 (2022)

ในช่วงตอนต้นของยุครัตนโกสินทร์ ภพ นายช่างหนุ่ม ที่ได้แต่ฝันถึงผู้หญิงคนเดิมซ้ำๆ จนทำให้เขาเชื่อว่านางในฝันผู้นี้คือบุพเพสันนิวาสของเขา และเขาก็ได้พบกับ เกสร หญิงสาวที่หน้าตาเหมือนนางในฝันของเขาทุกประการ เขาจึงเดินหน้าพยายามจีบเธอ แต่เกสรก็ดันเป็นสาวหัวใหม่ที่ไม่เชื่ออะไรในเรื่องนี้ แถมเธอยังมีบันทึกของคุณหญิงการะเกด ที่ดันไปสอดคล้องกับการมาของ เมธัส ชายหนุ่มที่เหมือนจะข้ามเวลามาจากโลกอนาคต จนทำให้เกิดเรื่องวุ่นๆ ตามมา

หนังเปลี่ยนจากยุคสมัยอยุธยาในละครช่อง 3 ที่จบอย่างสมบูรณ์ไปแล้ว ไปเริ่มที่ภพใหม่ ชาติใหม่ ในช่วงยุครัตนโกสินตร์ตอนต้น แต่บุพเพสันนิวาสยังนำพาคนทั้งคู่ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง อีกหนึ่งผลงานจอแก้ว มาสู่จอภาพยนตร์ที่อยู่ภายใต้การสร้างของค่ายอารมณ์ดี GDH ก็การันตีคุณภาพได้แน่ๆ ใครเป็นแฟนคลับมาตั้งแต่ภาคละครไม่ควรพลาด หนังจะเข้าฉายโรงภาพยนตร์วันที่ 28 กรกฏาคมนี้