หนังคนเหงา_00

7 หนังที่ต้องเผชิญกับความเหงา ที่ต้องดูคนเดียวถึงจะอิน

ช่วงล็อกดาวน์แบบนี้ อาจทำให้เราต้องห่างไกลจากคนที่เรารักมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในฐานะแฟน หรือครอบครัว ที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ก็ยิ่งมีโอกาสพบเจอกันยากขึ้น การไม่เจอไม่กี่วันก็อาจจะไม่เท่าไร แต่การถูกล็อกดาวน์เป็นเดือนๆ แบบนี้ รับรองว่ามีความเหงาเข้ามาเกาะกินหัวใจอย่างแน่นอน ทางโกดังหนังก็เลยอยากจะซ้ำเติมกันเข้าไปอีกให้มันเข้ากับธีมช่วงนี้สักหน่อย โดยการแนะนำหนังคนเหงา เปล่าเปลี่ยวใจ ให้ได้ดูแล้วเหงาตายกันไปข้างนึง ถ้าอยากมาร่วมเหงากับเรา ว่ามีเรื่องอะไรบ้าง ลองมาดูกันได้เลย

Cast Away (2000) – เหงาแบบติดเกาะ

ชัค โนแลนด์ พนักงานของบริษัทส่งของ Fedex ที่ยึดติดกับเรื่องเวลา ในทุกนาทีในชีวิตของเขาคือการสร้างงานให้มากที่สุด เร็วที่สุด จนละเลยเวลาที่มีให้กับแฟนสาวของเขา แต่แล้วเหมือนเวรกรรมก็ตามทัน เมื่อเขาขึ้นเครื่องบินแล้วเกิดอุบัติเหตุ จนรอดขึ้นมาได้บนเกาะร้างแห่งหนึ่งที่ไม่มีอะไรเลย เขาต้องเผชิญกับสถานการณ์ทุกอย่างโดยลำพัง จนทำให้เขาต้องเรียนรู้ที่จะเอาตัวรอดคนเดียว และหาทางกลับไปสู่โลกที่เขาจากมาให้ได้

หนังที่ใจร้ายกับตัวละครสุดๆ อีกเรื่อง ที่สร้างคาแรคเตอร์ตัวละครที่สนใจในเรื่องของ “คุณค่าของเวลา” มากที่สุด แต่ต้องไปติดเกาะ ที่ผลาญเวลาแต่ละวันไปกับการเอาชีวิตรอด แถมยังต้องอยู่อย่างลำพังเผชิญกับความเหงาไปด้วย จนสภาพจิตใจของการที่ไม่ได้เจอใครก็เริ่มพลังทลาย เหลือเพียงลูกวอลเล่ย์บอลอย่าง Wilson เท่านั้น ที่กลายมาเป็นเพื่อนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา และหนังสร้างความสัมพันธ์นี้ขึ้น จนทำให้คนดูอดเสียน้ำตาให้กับเจ้าลูกวอลเล่ย์ลูกได้นี้ไม่ได้จริงๆ 

Wall-E (2008) – เหงาลำพังบนโลก

Wall-E หุ่นยนต์บีบอัดขยะที่ใช้ชีวิตบนโลกมาอย่างเดี่ยวดายกว่า 700 ปี ด้วยการทำหน้าที่กำจัดขยะในโลกมนุษย์ ที่ไม่มีใครอยู่แล้ว เพราะอพยพกันขึ้นไปยานอวกาศกันหมด เพื่อรอให้สภาพแวดล้อมในโลกกลับมาอยู่ได้อีกครั้ง แต่แล้ววันหนึ่ง Wall-E ก็ได้พบกับ Eve หุ่นยนต์อีกตัวที่มนุษย์ส่งมาในโลก เพื่อตามหา พืช เพื่อใช้เป็นสัญญาณว่าโลกมนุษย์นั้นสามารถกลับมาอยู่ได้อีกครั้งแล้ว จนทำให้เกิดเป็นมิตรภาพและความรักที่เกิดขึ้นของหุ่นอัดขยะขี้เหงารายนี้

อีกหนึ่งตัวละครสุดเหงาในโลกอนิเมชั่น กับเจ้าหุ่นยนต์ตัวน้อยที่ทำหน้าที่เก็บขยะอยู่บนโลกเพียงลำพังมากกว่า 700 ปี จะมีก็เพียงแมลงสาบที่เป็นสิ่งมีชีวิตที่รอดมาได้ทุกยุคทุกสมัยและทุกสภาพบนโลก ซึ่งยังดีที่หนังไม่ได้ใจร้ายเกินไป เลยส่งหุ่นอย่าง Eve เข้ามาเพื่อล้างความเปลี่ยวเหงา จนกลายเป็นความรักที่ปราศจากเงื่อนไข และปราศจากคำพูดอย่างแท้จริง แต่ก็ทำให้เราเห็นถึงการเติมเต็มความเหงาได้เป็นอย่างดี 

Lost in Translation (2003) – เหงากันคนละภาษา

บ็อบ แฮริส นักแสดงมีอายุที่กำลังเผชิญกับขาลงในอาชีพ อีกทั้งยังเบื่อหน่ายกับภรรยาที่อยู่ด้วยกันมานานกว่า 25 ปี การที่ได้มาถ่ายโฆษณาที่ญี่ปุ่นจึงเป็นความอึดอัดในชีวิตเป็นอย่างยิ่ง เขาได้พบกับ ชาล็อตต์ นักศึกษาสาวสวยที่เพิ่งจบปริญญาด้านปรัชญามา แต่ต้องติดตามสามีมาทำงานที่ญี่ปุ่น ซึ่งด้วยวัฒนธรรมทำงานหนักก็ทำให้แฟนหนุ่มของเธอแทบไม่มีเวลาให้ จนทำให้ทั้งบ็อบและ ชาล็อตต์ ต่างต้องเผชิญกับความโดดเดียวแบบสุดขั้วจากการอยู่ในโลกที่ไม่มีใครสื่อสารกับพวกเขาได้อีกต่อไปแล้ว จนสร้างพื้นที่ส่วนตัวและความสัมพันธ์ขึ้นมาในเมืองแห่งนี้

ความเหงาเป็นขั้วบวกขั้วลบ หนุ่มสาวได้มาพบกันในคืนร้าวรานอย่างแท้จริง เพราะแม้ว่าโลกที่ทั้งสองตัวละครอยู่นั้น จะเต็มไปด้วยผู้คนและความพลุกพล่านที่แน่นอนขนัดในแต่ละสถานที่ แต่ด้วยความต่างด้านภาษาและด้านวัฒนธรรม ทำให้อยู่ยังไงก็เหมือนอยู่บ้าน จะสื่อสารอะไรก็เต็มไปด้วยความอึดอัดจากกำแพงทางภาษา จนกลายเป็นว่ายิ่งคนเยอะเท่าไร ก็ยิ่งรู้สึกเหงาเท่านั้น แถมผู้กำกับอย่าง Sofia Coppola ก็เคยออกมาบอกว่า เธอทำหนังเรื่องนี้ออกมาเพราะรู้สึกเปล่าเปลี่ยวและน้อยใจสามีของเธออย่าง Spike Jonze ที่ในภายหลังเขาก็ง้อเธอด้วยหนังอย่าง Her 

I am Legend (2007) – เหงาแบบเหลือหมา 1 ตัว

โรเบิร์ต เนวิลล์ มนุษย์คนสุดท้ายที่ยังอาศัยอยู่ในเมืองของนิวยอร์ค หลังวันสิ้นโลก เนื่องจากผู้คนต่างติดเชื้อมรณะจนกลายพันธุ์กันหมด จนลามไปทั่วโลกและทให้ทั้งเมืองกลายเป็นเมืองร้าง ด้วยความที่โรเบิร์ตเป็นนักวิทยาศาสตร์ เขาจึงพยายามที่จะพัฒนาเซรุ่ม จากภูมิคุ้มกันตัวเอง เพื่อหวังให้ผู้คนกลับมาสู่สภาพเดิมให้ได้ ทำให้เขาต้องเดินทางกับสุนัขคู่ใจเพื่อทำภารกิจนี้

หนังเหงาๆ ในฐานะมนุษย์คนสุดท้ายของโลก แต่ยังดีที่หนังยังให้สุนัขคู่ใจเอาไว้หนึ่งตัว แม้ว่าจะพูดคุยกันไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถสื่อสารกันตามประสาคนและสัตว์ได้อย่างรู้ใจ อีกหนึ่งหนังคุณภาพดี ที่ได้ Will Smith มาเป็นดาราผู้แบกหนังเอาทั้งเรื่อง (รวมถึงการแสดงของน้องหมาด้วย) และเขาก็ทำได้ดีมากๆ ในการแสดงอารมณ์เหงาเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย ผ่านทางสีหน้าแววตา จนคนดูอดรู้สึกเหงาไปด้วยไม่ได้จริงๆ นับเป็นหนังยุคหลังโลกล่มสลาย ที่พาเหงาใจดีเหลือเกิน

Her (2013) – เหงาจนต้องคุยกับ AI

เรื่องราวของหนุ่มนักเขียนผู้โดดเดี่ยว ที่ทำงานบริษัทรับจ้างเขียนจดหมาย ซึ่งเขาสามารถบอกเล่าสื่อสารความรู้สึกให้กับทุกๆคนที่เขามองชีวิตผ่านและรับจ้างเขียนจดหมายให้ได้ แต่สำหรับตัวของเขาเองกลับสื่อและบอกออกมาไม่ได้จนเกิดเป็นปัญหา และทำให้เขาไปตกหลุมรักโอเอส โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เรียกตัวเองว่า “ซาแมนธา”

จะเรียกว่าหนังเหงาแห่งชาติก็ไม่ผิดนัก เพราะถึงขนาดตัวละครล้มเลิกที่จะหาความสัมพันธ์ในชีวิตจริงและหันหน้าเข้าหาความสัมพันธ์กับปัญญาประดิษฐ์ที่ไม่มีชีวิตอย่าง A.I. ส่วนนึงอาจจะเกิดจากการที่เลิกกับคนรักมา เลยทำให้เขากลายเป็นซึมเศร้า จนต้องเหงาและอ้างว้างเกินเบอร์ จนนำมาสู่ความสัมพันธ์ที่น่าสนใจเช่นนี้ ที่เอาจริงๆ มันก็เป็นการเปรียบเทียบกับชีวิตปัจจุบันในสังคมก้มหน้าที่ผู้คนให้ความสัมพันธ์กับในจอ มากกว่าในชีวิตจริงกันเข้าไปแล้ว อีกทั้งยังจะเริ่มหลงใหลและถลำเล่นมากขึ้นจนบางทีก็ละเลยคนรอบข้างไปจริงๆ  

Up in the Air (2009) – เหงาเพราะต้องเดินทาง

เจ้าหน้าที่ด้านการลดจำนวนพนักงานองค์กร ที่คอยเป็นคนพูดให้คำปรึกษาต่อผู้ที่กำลังจะตกงาน เขาประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน โดยบินข้ามรัฐไปมาตลอดหลายวันติดต่อกัน และเฉลี่ยแล้วต่อปีเขาได้กลับมาใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเพียงแค่เดือนเศษเท่านั้น แต่นั้นก็ไม่ใช่ปัญหาเพราะไรอัน มีความสุขกับรูปแบบการใช้ชีวิตที่ไม่มีพันธะ โดยมีเป้าหมายในชีวิตในการสะสมไมล์การเดินทางให้ถึง 10 ล้าน แต่แล้วเมื่อวันหนึ่งเขาเกิดพบรักกับเพื่อนนักเดินทางสาว จึงเกิดระบบความคิดใหม่ และพยายามทบทวนเรื่องของการอยู่แบบไม่มีพันธะ ว่าควรจะลงเอยด้วยการสร้างชีวิตครอบครัวดีหรือไม่

แม้แต่คนที่หน้าตาทรงเสน่ห์แบบป๋าจอร์จ คลูนี่ย์ ก็ยังต้องเผชิญกับความเหงา เมื่อหน้าที่ของเขาคือการเดินทางไปในหลายๆ ประเทศ เพื่อทำหน้าที่อย่างเดียว นั่นก็คือการไล่พนักงานออก ทำให้ชีวิตเขาไม่สามารถมีพันธะ หรือมีข้อผูกมัดกับใครใด ในแง่นึงมันก็เหมือนชีวิตที่ดูจะมีอิสระ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ มันก็ทำให้เขาคิดว่าแท้จริงแล้วเขาอยู่คนเดียวมาตลอด จนเริ่มรู้สึกเหงาอยู่เหมือนกัน นับเป็นหนังที่เนื้อหามันอาจจะไม่เกี่ยวกับความเหงา แต่ดูๆ ไปแล้วจะเห็นใจความโดดเดี่ยวของตัวละครเหลือเกิน

Chungking Express (1994) – เหงาแบบหว่องๆ

ตำรวจหนุ่มนายหนึ่งถูก อาเมย์ แฟนสาวบอกเลิกในวันที่ 1 เมษายน ในตอนแรกเขาคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องโกหกในวัน April Fool Day ทำให้เขาตั้งเงื่อนไขประหลาดๆ กับตัวเอง ที่จะทำภายใน 30 วัน หากแฟนสาวของเขาไม่กลับมา ก็จะถือว่าเป็นการเลิกกันอย่างแท้จริง จนกระทั่งเขาได้เจอกับผู้หญิงผมทองคนหนึ่งโดยบังเอิญ ทำให้ชีวิตของเขาต้องเปลี่ยนไปอีกครั้ง

แม้ชื่อไทยของหนังอย่าง ‘ผู้หญิงผมทองฟัดหัวใจโลกตะลึง’ จะดูไม่มีความเหงาแต่อย่าง แต่หนังกลับกระทำความหว่องด้วยความเหงาระดับขยี้ 10 แรงมือ ที่โดนใจคนอกหัก แต่ยังลืมแฟนเก่าไม่ลงไปแบบเต็มๆ และเชื่อว่าหลายๆ คนก็คงเริ่มรู้สึกว่าตัวเองปกติไปเลย เมื่อเห็นพฤติกรรมระบายความเหงาของตัวละครแต่ละตัวในเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นความหมกมุ่นในการตามหาสัปปะรดกระป๋องที่หมดอายุในวันที่ 1 พฤษภาคม, การวิ่งให้เหงื่อออกจนไม่เหลือน้ำตา หรือการนั่งคุยกับสิ่งของเพียงลำพัง ก็ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องพิสูจน์ชั้นดี ว่าไม่มีหนังเรื่องใด จะเหงาเท่าหนังหว่องเรื่องนี้อีกแล้ว