รวมผลงาน 7 Animation ค่าย lllumination ที่เป็นจุดกำเนิด Minions
หลายคนที่ดู Animation มาเยอะๆ อาจจะต้องผ่านหูผ่านตาค่าย lllumination กันมาบ้าง เพราะแต่ละเรื่องเราจะได้เห็นเจ้า Minions สุดน่ารักนี่แหละ มาแหกปากตะโกนชื่อค่ายตัวเองกันในตอนเปิดตัวหนังแทบทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องนั้นๆ จะมี Minions หรือไม่ก็ตาม และหลายๆ ครั้งมันก็ได้กลายเป็นหนังฉายปะหัวของค่ายไปซะแล้ว
ซึ่งจริงๆ แล้วใน lllumination เองก็มี Animation เรื่องอื่นๆ ที่มีดีอยู่หลายเรื่อง รวมถึงเรื่องที่แป้กบ้างเช่นกัน แต่โดยส่วนมากก็มักจะมอบความบันเทิงได้เป็นอย่างดี และหลายเรื่องก็มีโอกาสได้เข้าชิงรางวัลออสการ์กับเขาด้วย เพื่อให้ทุกคนรู้จักค่าย lllumination ให้มากกว่านี้ เราจะพาไปสำรวจกันว่า ค่ายนี้เคยทำ Animation เรื่องอะไรกันมาบ้าง รับรองเลยว่าน่าจะคุ้นเคยกันอยู่แล้วแน่นอน
Despicable Me 1-3 (2010 – 2017) – มิสเตอร์แสบร้ายเกินพิกัด
กรู ชายที่มีเป้าหมายที่จะขึ้นเป็นวายร้ายที่ยิ่งใหญ่เป็นอันดับหนึ่งโลก ที่ผ่านมา เขาจึงพยายามทำเรื่องชั่วร้ายมาโดยตลอด โดยมีลูกสมุนเหล่ามินเนียนมาเป็นลูกน้องที่คอยช่วยทำสิ่งต่างๆ (มั้ง) จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็ได้มีแผนการในการขโมยดวงจันทร์ขึ้นมาเพื่อที่จะสร้างชื่อ แต่กลับได้เป็นพ่อเลี้ยงจำเป็นเสียก่อน เมื่อเขาต้องคอยดูแลเด็กกำพร้าทั้ง 3 คน ที่อาจจะทำให้เขาต้องเปลี่ยนเป้าหมายชีวิตไปตลอดกาล
นอกจากจะเป็นหนังเรื่องแรกของค่ายแล้ว มันยังเป็นจุดกำเนิดของตัวละครตัวเหลืองสุดกวนบาทาอย่าง Minions นั้นเริ่มขึ้นที่หนังเรื่องนี้เลย จากการที่เป็นตัวขโมยซีน และเรียกเสียงฮาต่างๆ จนทำให้พล็อตรักที่ทำออกมาได้กลมกล่อมอยู่แล้วก็มีสีสันมากขึ้นเยอะ จนหนังได้รับคำชื่นชมไปมากเลยทีเดียว จนมีภาค 2 ตามออกมาใน 3 ปีต่อมา แถมยังได้เขาชิงรางวัลออสการ์สาขา Animation ยอดเยี่ยม และเพลงประกอบยอดเยี่ยมอย่าง “Happy” ด้วย ซึ่งจนถึงตอนนี้หนังก็มีมาแล้วถึง 3 ภาค แต่กระแส Minions กลับรุนแรงกว่ามากๆ จนได้ภาคแยกมาเป็นของตัวเองได้อีก 2 ภาคแล้ว
Hop (2011) – กระต่ายซุปเปอร์จัมป์
อีบี กระต่ายน้อยที่อยู่บนเกาะอีสเตอร์ที่ไกลจากผู้คน ในตอนเด็กนั้นเขามีความฝันที่จะสานต่อธุรกิจโรงงงานผลิตขนมจากพ่อของเขา แต่แล้วเมื่อโตขึ้นมา ก็กลับพบความเท่ในดนตรี จนอยากเป็นมือกลองสุดคูลแทน ซึ่งแน่นอนว่าพ่อของเขามองว่าอาชีพนี้มันช่างไร้สาระ จนทำให้เขาหนีออกมาจากบ้าน เพื่อทำตามฝันตัวเอง และในระหว่างทางเขาก็ได้เจอ เฟรด มนุษย์คนนึง ที่กำลังพยายามตามฝันเหมือนกัน
หนังเรื่องที่ 2 ของค่ายที่ใช้การผสมผสานระหว่าง CG กับนักแสดงจริง โดยได้ผู้กำกับอย่าง Tim Hill ที่เคยทำหนังเด็กอย่าง Alvin and The Chipmunk สำเร็จมาหมาดๆ แต่ในเรื่องนี้กลับดรอปคุณภาพลงไปมาก ทั้งตัวพล็อตเรื่องเองก็ค่อนข้างซ้ำซาก กับเรื่องการตามหาฝัน ที่มีออกมาเยอะไปหมด อีกทั้งตัวหนังก็ยังออกมาดูเด็กเกินไป ด้วยความราบเรียบ ประกอบกับมุขตลกแบบที่เน้นเจ็ยตัวเป็นหลัก เลยไม่แปลกนักที่หนังจะถูกสับยับเยิน
The Lorax (2013) – คุณปู่ โลแรกซ์ มหัศจรรย์ป่าสีรุ้ง
เท็ด เด็กหนุ่มที่อาศัยอยู่ในเมือง นีดวิลล์ เมืองที่ปราศจากต้นไม้แล้ว แต่ทดแทนด้วยการใช้พลาสติคแทนสิ่งต่างๆ เขานั้นหลงรัก ออร์ดรีย์ เด็กสาวในเมืองเดียวกัน ซึ่งเธอก็มีความฝันที่จะอยากเห็นต้นไม้จริงๆ เสียที เท็ด จึงรับปากว่าจะไปตามหาต้นไม้มาให้ จนกระทั่งไปปลุก The Lorax ขึ้นมา และได้รู้ความจริงบางอย่างที่ทำให้ต้นไม้ในโลกนี้หายไป
ผลงานที่ 3 ของค่ายที่สร้างมาจากนิทานชื่อดังของ Dr. Seuss อีกเรื่องนึง ที่สะท้อนเรื่องราวของธรรมชาติในโลกนี้ได้เป็นอย่างดี ทำให้แม้ว่าจริงๆ อายุของต้นฉบับจะเก่าแก่แค่ไหน แต่สุดท้ายมันก็ยังสะท้อนความโลภที่ไม่มีที่สิ้นสุดของมนุษย์ได้มาก แนวคิดหลายๆ อย่างทำออกมาได้น่าสนใจ เช่น อากาศสดชื่นที่ต้องเอามาอัดขวดขาย เพราะไม่มีต้นไม้อีกต่อไป จนทำให้มันกลายเป็น Animation ที่ภายนอกสีสดใส แต่ก็แฝงด้วยประเด็นที่ปลูกฝังความรักธรรมชาติได้ดีเลย
The Secret Life of Pets 1-2 (2016-2019) – เรื่องลับแก๊งขนฟู
แม็กซ์ สุนัขที่ถูกเจ้าของอย่าง เคธี่ เก็บมาเลี้ยงตั้งแต่ยังเล็กๆ จนมันรู้สึกผูกพัน และหวงเจ้าของคนนี้มากๆ จนกระทั่งวันหนึ่งที่ เคธี่ พา ดุ๊ก สุนัขตัวใหม่ขนฟูเข้ามาในบ้าน จนทำให้แม็กซ์ เกิดอาการหึงหวงอย่างหนักกลัวว่ามันจะมาแย่งความรักจากเขาไป เลยเกิดเป็นเรื่องราววุ่นๆ พร้อมกับสัตว์เลี้ยงอีกหลายตัวในระแวกบ้านตามมา
หนัง Animation แบบสายบันเทิงเอาใจคนรักสัตว์ เลี้ยงสัตว์จริงๆ เพราะดูแล้วมันช่างเข้าอกเข้าใจคนเลี้ยงสัตว์มาก แถมยังแซะมนุษย์ด้วยว่า ไม่รู้หรอกว่า เวลาเราไม่อยู่สัตว์เลี้ยงพวกนี้มันทำอะไรกัน มันเลยมีพื้นที่ในการเล่นมุขได้อย่างสนุกสุดๆ แม้ว่าเรื่องราวของหนังจะไม่ค่อยมีอะไรเท่าไรนัก จนทำให้มันได้มีโอกาสทำภาค 2 ออกมา ซึ่งดูจากคะแนนต่างๆ แล้วก็ถูกใจคนดูขึ้นไปอีก ส่วนตัวก็คิดว่ามันฮากว่าแบบ x2 เลย จากมุขที่เข้าใจคนเลี้ยงสัตว์แบบจริงๆ
Sing (2016 – 2021) – ร้องดังฟังชัด
บัสเตอร์ มูน โคอาล่าหนุ่มที่อยู่ในเมืองของเหล่าสรรพสัตว์ ที่รับช่วงต่อ โรงละครมูน มาจากรุ่นพ่อ แต่ธุรกิจกลับตกต่ำจนต้องเป็นหนี้กับทางธนาคาร เขาเลยพยายามจะฟื้นฟูโรงละครของเขากลับมาอีกครั้ง ด้วยการจัดประกวดร้องเพลง แต่ก่อนที่จะคัดเลือกคน ทีมงานของเขาดันทำใบปลิวหลุดว่อนไปทั่วเมือง จนทำให้คนในเมืองหลายๆ คนต่างสนใจ และมาสมัครกันเต็มไปหมด จนเขาต้องพลิกวิกฤตครั้งนี้ ให้เป็นโอกาสให้ได้
อีก Animation ที่พูดถึงความฝัน และการทำตามฝันได้เป็นอย่างดี เพราะหนังเล่าถึงคนธรรมดาทั่วไป ทั้งแม่บ้านลูกเพียบ วัยรุ่นขึ้อาย วัยรุ่นที่เกิดมาตระกูลโจร หรืออะไรแบบนี้ แต่ทุกคนก็ต้องมารวมในที่เดียวกัน เพื่อทำตามฝันของตัวเอง แม้ว่าภาคแรกอาจจะมีขาดๆ เกินๆ ไปบ้าง แต่ก็เป็นธรรมดาของค่ายนี้ที่มักทำภาคต่อของหนังตัวเองออกมาได้ดีขึ้น เพราะภาคสองของเรื่องนี้มันช่างบันเทิงดีเหลือเกิน
The Grinch (2018) – เดอะ กรินซ์
กริ๊นซ์ สิ่งมีชีวิตตัวสีเขียวที่ใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวบนภูเขาครัมเพ็ต ร่วมกับแม็กซ์ สุนัขของเขา เขาจะลงจากเขามาเพื่อหาอาหารเท่านั้น และในแต่ละปีช่วงเวลาที่เขาเกลียดที่สุดก็คือวันคริสต์มาส และปีนี้จะมีการเล่นใหญ่ขึ้นไปอีก เขาจึงพยายามที่จะขโมยวันคริสต์มาสของทุกคนมา เพื่อให้ตัวเองได้มีวันที่วันที่สงบขึ้นมา
งานที่ 2 ของค่ายที่หยิบเอานิทานของ Dr. Seuss มาใช้อีกครั้ง หลังจาก The Lorax ซึ่งผลที่ออกมาก็ดูเหมือนว่าความคลาสสิคนี้จะขายไม่ได้เสียแล้ว เพราะหลายๆ เสียงก็ยืนยันถึงความน่าเบื่อของเรื่องราว และบทสนทนาที่ดูไม่ค่อยพาเรื่องคืบหน้าไปไหน แม้ว่าหนังจะได้ดาราดังอย่าง Benedict Cumberbatch แต่ก็ดูเหมือนว่าจะกลบข้อเสียไม่ได้สักเท่าไร จนทำให้เด็กดูก็เบื่อ ผู้ใหญ่ดูก็หาว จนต้องลุ้นต่อเลยว่าค่ายจะกล้าเอางาน Dr. Seuss มาดัดแปลงกันอีกไหม
Minions (2015 – 2022) – มินเนียน
มินเนี่ยน คือสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว ที่เกิดขึ้นมาในโลกตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์แล้ว ดูเหมือนว่า DNA ของมันคือการพยายามรับใช้เจ้านายที่มีความสามารถที่จะครองโลก แต่ดูเหมือนว่าไม่ว่าพวกมันจะไปอยู่กับใครก็มีแต่ชิบหายกันไปหมด จนกระทั่งผ่านมาหลายศตวรรษ เควิน หนึ่งในมินเนียน พร้อมกับ บ็อบ และสตีฟ ก็ได้เดินทางออกตามหาเจ้านายใหม่ จนได้พบกับ สการ์เล็ต จอมวายร้ายสาว ที่พวกมันพร้อมจะไปสร้างความปั่นป่วนด้วย
ต้องเข้าใจก่อนว่า น้ำจิ้ม มันไม่ควรกินเปล่าๆ ซึ่ง Minions มันก็เปรียบเสมือนกับน้ำจิ้มที่เอาไว้ปรุงรสให้หนังอย่าง Despicable Me นั้น ดูมีรสชาติที่ลงตัวมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันตอนที่มันมาเป็นหนังแยกเดี่ยว เนื้อเรื่องมันก็จะแห้งๆ แล้วก็แถๆ สักหน่อย และขาดความอบอุ่นใจในแบบที่ Despicable Me มี แต่ทั้งนี้มันก็ไม่ได้ถึงขั้นย่ำแย่ เพราะด้วยความน่ารักและความบ้าของพวกมันก็ทำให้เอาตัวรอดมาได้ด้วยความบันเทิง ความฮา และเสน่ห์เหลือล้นของพวกมัน