ScoopSoul_00

6 บทเรียนชีวิตที่ได้จาก Soul อนิเมชั่นที่ชวนเราสำรวจความหมายของการมีชีวิตอยู่

Soul คือ Animation ชั้นเยี่ยมอีกเรื่องของค่ายเด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดีอย่าง Pixar ที่สามารถสร้างความแตกต่างโดดเด่นออกมาจาก Animation เรื่องอื่นๆ ของทางค่ายได้มาก ทั้งการพูดถึงเรื่องราวของชีวิตได้อย่างลุ่มลึก การสร้างโลกก่อนไปเกิดที่น่าสนใจ ไปจนถึงสุนทรียภาพที่เกิดขึ้นจากดนตรี Jazz ภายในเรื่อง จึงไม่แปลกใจนัก หากมันจะเป็น Animation ที่โดนใจคนในวัยผู้ใหญ่ หรือวัยกลางคนที่ผ่านมาชีวิตมาแล้วในระดับหนึ่งเป็นอย่างมาก

ด้วยความที่เกือบทุกช่วงเวลาของหนัง มันสามารถมอบแง่คิดดีๆ ของชีวิตในแบบที่เราคุ้นเคย เข้าถึงได้ง่าย และอาจทำให้หลายๆ คน อาจได้เปลี่ยนมุมมองชีวิตได้จาก Animation เรื่องนี้กันไปเลย วันนี้ทาง โกดังหนัง จึงอยากจะมองลองแบ่งปันความคิดกันว่า เราเห็นแง่มุมอะไรที่ดีๆ จาก Animation ชั้นดีเรื่องนี้กันบ้าง? ส่วนใครที่อยากดูก่อนแล้วมาเมาท์มอยกันก็สามารถไปรับชมก่อนได้ที่ Disney+ Hotstar กันก่อนได้เลย

พร้อมเปิดรับความสุขจากสิ่งเล็กๆ ในชีวิต

ScoopSoul_01

แมสเสจหนึ่งที่หนังส่งต่อมาให้คนดูอย่างเห็นได้ชัดๆ นั่นก็คือการที่หนังบอกเราว่า ให้ใช้ชีวิตให้ช้าลงดูบ้าง หมั่นสังเกตทุกอย่างรอบตัวในชีวิต ดื่มด่ำกับความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่ผ่านเข้ามาในแต่ละวัน เหมือนอย่างที่หมายเลข 22 นั้น ได้ลองใช้ชีวิตเป็นครั้งแรกเมื่อขึ้นมาบนโลก เขาได้มีความสุขกับการกินพิซซ่าครั้งแรก เขาได้สนุกกับทุกอย่างที่ได้เดินผ่าน หรือแม้กระทั่งเรื่องง่ายๆ อย่างการเดิน

มันไม่ใช่เรื่องง่ายหรอก กับการที่เราจะมีความสุขได้ หากชีวิตยังเต็มไปด้วยปัญหา และความเหนื่อยล้าจากสิ่งที่เกิดขึ้นรายวัน โดยเฉพาะกับสังคมที่เราอยู่ในทุกวันนี้ แต่ทั้งนี้ความสุขง่ายๆ ก็อาจเกิดขึ้นได้ อย่างการเห็นรอยยิ้มของคนที่เรารัก การได้กินอาหารอร่อยๆ การได้เห็นการช่วยเหลือกันในสังคม ได้ฟังเพลงเพราะๆ ได้ดูหนังดีๆ สักเรื่อง ก็อาจเป็นความสุขเล็กๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันได้เหมือนกัน

สิ่งที่เรารัก ไม่จำเป็นต้องเป็นเป้าหมายของชีวิต

เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะมีความสามารถพิเศษ หรือสิ่งที่เราหลงใหลเป็นของตัวเอง ซึ่งหลายๆ คนเมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้ ก็เลือกที่จะนำมันมาใช้เป็นเครื่องมือในการทำความฝัน แต่ในความเป็นจริงๆ มันทำให้เรารู้สึกกดดันมากขึ้น หากเราไม่สามารถใช้สิ่งที่รัก นำไปสู่ความสำเร็จได้สักที เหมือนอย่าง Joe ที่ความจริงแล้วเขาเป็นคนที่รักและหลงใหลในดนตรี รวมถึงลูกศิษย์ตัวน้อยของเขา ที่จริงๆ แล้วมความสุขในการเล่นดนตรี 

แต่เมื่อเขาเอาความสามารถนี้ มาเป็นเป้าหมายความสำเร็จแล้ว ความเครียดและความกดดันก็ย่อมเพิ่มขึ้นตาม ต่างจากการเล่นดนตรีเฉยๆ ให้มีความสุข จนบางครั้งเราก็ควรแยกสิ่งที่เรารักออกมา เพื่อให้มันยังคงเป็นความสุข และที่พักใจของเราเอาไว้ หากมีโอกาสก็ค่อยนำมันมาใช้ให้เกิดประโยชน์ โดยที่ไม่ต้องรู้สึกผิดกับความยังไม่ดีพอให้มากนัก

หาความสุขระหว่างไขว่คว้าความสำเร็จ

เหมือนที่มีคำพูดว่า จงหาความสุขในระหว่างการเดินทาง มากกว่าความสุขที่จุดหมายปลายทาง ในหนังเรื่องนี้ก็ไม่ต่างกัน เราจะเห็นได้ว่า Joe นั้นมุ่งมั่นที่จะเป็นนักดนตรีชื่อดังให้ได้ แต่มีใจจดจ่อกับอนาคตนั้นที่ยังไม่มาถึง ทำให้ในแต่ละวัน เขาเต็มไปด้วยความหดหู่ ความเศร้าที่ชีวิตเขายังไปไม่ถึงจุดนั้นสักที ทั้งๆ ที่ชีวิตของเขานั้น ก็ได้เล่นดนตรีในแบบที่เขารัก ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองหลงใหล

แต่เขาก็กลับมองข้ามในจุดนี้ไป ดังนั้นแน่นอนว่าทุกคนที่มีเป้าหมาย ย่อมอยากไปถึงจุดนั้นโดยเร็ว จนบางทีก็ลืมความสวยงามในระหว่างทางกันไป ไม่ว่าจะเป็นความพยายาม ความสนุก และเรื่องตื่นเต้นต่างๆ นานา รวมไปถึงการลืมคิดว่าไป จริงๆ แล้วหากมันเป็นสิ่งที่เราชอบด้วยอยู่แล้ว มันก็น่าจะมีความสุขตั้งแต่เราเริ่มทำแล้วล่ะ

ยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่ไม่แน่นอน

ในเรื่องราวของ Soul นั้น เต็มไปด้วยชีวิตคนที่ไม่ได้สมหวังตามแผนชีวิตที่วางเอาไว้ ตัวเอกอย่าง Joe เองแม้จะมีความฝันที่จะเป็นนักดนตรีชื่อดัง แต่ชีวิตจริงเขาก็ยังติดอยู่กับความเป็นครูสอนดนตรี หรือแม้กระทั่งจะได้โอกาสที่ดีมา ก็ยังมีความผิดพลาดที่ไม่ได้คาดคิดเสมอ ไม่ต่างจากตัวละคร Dez ที่เป็นช่างตัดผม ที่ได้เล่าถึงความฝัน ที่อยากเป็นสัตวแพทย์ แต่สุดท้ายเมื่อลูกชายเขาป่วย เขาก็ต้องตัดสินใจมาร่ำเรียนในสิ่งที่ค่าใช้จ่ายน้อยกว่าอย่างการเป็นช่างตัดผม

แต่นั่นก็ไม่ได้ทำลายตัวตนของเขา ไม่ได้ทำให้เขาเป็นคนที่มีความสุขน้อยลงแต่อย่างใด เขายังคงได้พูดคุยกับลูกค้า ได้ฟังถึงความฝันของคนอื่น ได้เล่าถึงความฝันของตัวเอง และเขาก็ยังทำหน้าที่นี้ได้ดี จนมีขาประจำที่คอยวนเวียนเข้ามาอยู่เสมอ แม้ว่าชีวิตเขาจะไม่ได้ทำตามความฝันที่ตั้งเอาไว้ก็ตาม

คนเราไม่จำเป็นต้องมีเป้าหมายในชีวิตก็ได้

ที่ผ่านมาเราอาจเห็นความสำเร็จ และการทำตามความฝันของใครหลายๆ คน แต่เมื่อมองย้อนกลับมาที่ตัวเอง ก็อาจเกิดคำถามว่า ทำไมเราถึงไม่มีสิ่งนั้นเหมือนอย่างคนอื่นเขา จนสิ่งที่ตามมาอาจเกิดความรู้สึกผิดที่ไม่มีเป้าหมาย รู้สึกอิจฉาที่เห็นเขาประสบความสำเร็จกัน นั่นคือสิ่งที่หมายเลข 22 เกิดความรู้สึกในเรื่องนี้ กับการเห็นหมายเลขอื่นๆ ได้ไปเกิดกันหมด หลังจากที่หาแรงบันดาลใจของตัวเองกันได้ ในขณะที่ตัวเขาเองกลับยังต้องติดอยู่ในโลกนั้น เพราะไม่มีใจที่จะไปสักที

การได้ลงมาสู่โลกมนุษย์นั้น ทำให้หมายเลข 22 ได้เรียนรู้อย่างหนึ่ง นั่นก็คือการใช้ชีวิตแบบมีความสุขโดยที่ไม่ต้องมีเป้าหมายใดๆ บางครั้งมันก็เพียงพอแล้วกับการที่เรามีความสุขกับการใช้ชีวิตในแต่ละวันที่เกิดขึ้น และดื่มด่ำไปกับสิ่งที่ได้รับมาในแต่ละวัน เพราะคนเราไม่ได้จำเป็นต้องมีเป้าหมายที่เหมือนกัน บนเงื่อนไขของชีวิตที่ต่างกัน หากเรามัวแต่ยึดติดกับการเห็นเป้าหมายและความสำเร็จของคนอื่นแล้ว จะกลายเป็นความกดดันของตัวเองมากกว่า

อย่าให้สังคมมากำหนดสิ่งที่เราเป็น

ในสังคมทุกวันนี้เหมือนจะมีการหล่อหลอมให้คนเป็นรูปแบบที่พวกเขาอยากให้เป็น ไม่ว่าจะเป็นด้านความเชื่อ การแสดงออก หรือพฤติกรรมต่างๆ เพื่อให้มันเป็นไปตามกรอบที่พวกเขากำหนด รวมถึงกำหนดเรื่อง การประสบความสำเร็จในชีวิต การใช้ชีวิตที่ดี และเป้าหมายของชีวิตในแต่ละคน จนมันกลายเป็นกรอบเดียวกันไปหมดว่า ต้องมีเงินเท่านั้นเท่านี้ ถึงจะเรียกประสบความสำเร็จ หรือต้องสำเร็จมากขนาดไหนถึงจะมีความสุข

ไม่ต่างอะไรจากที่ Number 22 ที่ต้องการเป็นวิญญาณเร่ร่อน เพราะถูกทุกคนเฝ้าบอกชีวิตของเธอว่าต้องเป็นอะไร ต้องทำอะไร จนสุดท้ายเธอก็สูญเสียความเป็นตัวเองไปจนหมด และการเป็นวิญญาณที่ไร้เป้าหมาย ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จ หรือความสุขในชีวิตนั้น เราล้วนแต่เป็นคนที่กำหนดเอาเอง ไม่มีใครที่รู้จักเราดี และรู้ความสุขในชีวิตเท่ากับตัวเราเอง ดังนั้น อย่าให้สังคมหรือใครมากำหนดเป้าหมายในชีวิตของเราได้